ความรู้เรื่องหิน และทุกสรรพสิ่งที่ลึกลงไปใต้ผิวพื้นโลก ที่สมัยใหม่เรียกกันว่า “ธรณีวิทยา” หากเป็นในสมัยโบราณเป็นแขนงหนึ่งในวิชาของ “ครูช่าง”อาจารย์ปรัชญา ปานเกตุ เขียนไว้ในหนังสือ “ศัพท์สรรพรรณนา” (สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์ พ.ศ.2565) หัวข้อ “พกหิน” ว่า ครูช่างไทยโบราณ ไม่แค่รู้จักคุณงามของหินจากแหล่งในไทย ยังรู้จักไปถึงหินจากแหล่งนอกประเทศหลักฐานสำคัญ คือวรรณคดีสมัย ร.3 โคลงดั้นเรื่องปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวรรณคดีเรื่องนี้ กล่าวถึงเรื่องหินจากแหล่งทรัพยากรธรรมชาติต่างๆที่นำมาใช้...ตั้งแต่ซุ้มทำด้วยหินจากเมืองชลบุรี ฐานรองสางแปลงทำด้วยหินเขาสำเภาเมืองลพบุรี พื้นระเบียงชั้นนอกปูด้วยหินเมืองสุโขทัยพื้นในประธาน และพื้นชานชาลาวิหารพระไสยาสน์ ปูด้วยหินทรายแดงเมืองราชบุรีและเพชรบุรีเหล่านี้คือหินที่หาได้จากในประเทศ ยังมีหินที่นำจากจีน ครูช่างไทยรู้จักในชื่อ “ศิลาเลี่ยงโผ” ศิลาทรายแดงจากเมืองหนิงโป มณฑลเจ้อเจียงโคลงดั้นเรื่องปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพน บทหนึ่ง พรรณนาว่าลานใหญ่เทียบทิพย์พื้น ภูมิสุรา ลัยเฮย หินดาษดลแดงพรรณ แผ่นกว้าง เลี่ยงโผชาติปาสาณ สรรขนาด เดียวนา ลาดตระหลอดลานแคว้นข้าง เขตในอาจารย์ปรัชญา บอกว่า เป็นที่รับรู้ลึกซึ้งในใจว่า หินเป็นของหนัก ปริศนาคำทายที่หลอกถามเด็ก หินหนึ่งกิโลกรัม กับนุ่นหนึ่งกิโลกรัม สิ่งใดหนักกว่ากัน จึงได้รับคำตอบเหมือนกันว่า “หิน”เรานำคำว่าหิน แฝงความหมายเป็นของแข็งและหนัก มาสร้างคำใหม่อีกหลายคำ เช่นคำว่า “ไข่ในหิน”ใจหิน หมายถึงมีใจที่โหดเหี้ยม มีใจที่แข็งมากไม่ยอมโอนอ่อนและคำ “พกหิน” คำนี้หมายถึงมีใจหนักแน่น ใช้เข้าคู่กับคำว่า “พกนุ่น” ในสำนวนว่าพกหินดีกว่าพกนุ่นคำว่า “พกหิน” เป็นสำนวนมีความอื่นแฝงอยู่ ไม่ใช่เรื่อง “พกหิน” จากเรื่องที่อาจารย์ปรัชญาตั้งใจเอามาเล่าอาจารย์มหาวิทยาลัยจากประเทศไทยคนหนึ่ง เดินทางไปถึงแหลมกู๊ดโฮป ประเทศแอฟริกาใต้ แหลมนี่ยื่นออกไปในมหาสมุทรแอตแลนติก เขาประทับใจความสวยของธรรมชาติ เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกบนจุดสูงสุดของหน้าผาสูงชัน เขาจินตนาการความรู้สึกกะลาสีที่ออกจากชายฝั่งมุ่งหน้าเข้าสู่มหาสมุทรอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ เสียงคลื่นสาดกระทบโขดหิน และกระแสลมแรง เขาเดินไปถึงประภาคารเก่าแก่ปลายสุดของแหลมในเที่ยวเดินกลับไปที่รถ เขาพลาดเหยียบหินก้อนหนึ่งจนเกือบจะล้ม เขาหยิบมันขึ้นมา “พกหิน” ก้อนนั้นกลับถึงเมืองไทย แวะไปหาเพื่อนอาจารย์คนแรก สอนการเงิน การบัญชีเพื่อนรับหินเคล้าคลึงในมือ คะเนน้ำหนัก ยกขึ้นส่อง แล้วถามตามประสานักการเงิน “แพงมั้ย”เขาหัวเราะ บอกลา เดินไปหาเพื่อนอาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยา เพื่อนรับหินก้อนนั้นไว้ในมือ แล้วโวยวาย “กู๊ดโฮปนี่” เขาตกใจเพื่อนเชี่ยวชาญประหนึ่งรู้จักหินทุกก้อนในโลก“เปล่า!” เพื่อนปฏิเสธ สีหน้ามีเลศนัย “กูเคยไป แล้วก็หยิบมาก้อนหนึ่งเหมือนกัน”เรื่องเล่าเรื่องนี้ชี้ว่า ก้อนหินก้อนเดียว ในสายตาคนหลายคน ประเมินค่าต่างๆกัน นักการเงินประเมินเป็นราคา นักธรณีวิทยา ประเมินด้วยประสบการณ์ส่วนนักการเมืองคนหนึ่ง ประเมินด้วยหลักใจคอที่หนักแน่นเหมือนพกหิน คำเปรียบเปรยนินทาว่าร้าย ก็กลายเป็นเรื่องโปกฮาแต่อีกคน หากฟังคำว่าร้าย แล้วหวั่นไหววุ่นวาย จึงกลายเป็นคนที่ชาวบ้านแอบหัวเราะไล่หลังว่า “พกนุ่น”หากจะว่ากันไป เรื่องนี้ก็เป็นคุณให้ชาวบ้านตัดสินใจเลือกได้ง่ายขึ้น หากเลือกคนพกหินเอาไว้ งานใหญ่ของบ้านเมืองก็คงมีเค้าก้าวหน้า.กิเลน ประลองเชิง