อยู่ร่วมกับโควิด...ไม่ใช่แปลว่าต้องทำให้เกิดการรับรู้สถานการณ์ที่เพี้ยนไปจากความจริงที่เผชิญอยู่ร่วมกับโควิด...ไม่ใช่แปลว่า ต้องทำทุกทางเพื่อลดทอนความตระหนักถึงอันตรายและความเสี่ยงจากโรค ทั้งๆที่ไม่ใช่ความจริงอยู่ร่วมกับโควิด...ไม่ใช่แปลว่า ทำทุกทางให้เข้าใจว่ากระจอก เอาอยู่ เพียงพอ หรือผลักให้เป็นหวัดธรรมดาหรือหวัดใหญ่ ทั้งๆที่ความรู้ปัจจุบันชี้ชัดว่าไม่ใช่ความจริง อยู่ร่วมกับโควิด...ไม่ใช่แปลว่า ต้องปล่อยจอย ผลักให้เข้าระบบปกติ โดยที่ระบบบริการที่มีอยู่นั้นยังไม่พร้อมที่จะดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในเรื่องปริมาณและคุณภาพของทรัพยากรที่จำเป็นอยู่ร่วมกับโควิด...ไม่ใช่แปลว่า ต้องยอมรับกับตัวเลขความสูญเสีย ทั้งป่วยทั้งตายจำนวนเท่านั้นเท่านี้ ทั้งๆที่หากไม่ย่อท้อ และใช้หลักวิชาการที่ถูกต้องก็จะสามารถหาทางในการควบคุมป้องกันเพื่อลดความสูญเสียให้น้อยลงได้รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ บอกอีกว่า...จะอยู่ร่วมกับโควิดได้ สิ่งที่ควรทำคือ การทำให้ทุกคนในสังคมรู้เท่าทันสถานการณ์ ได้รับความรู้ที่ถูกต้องทันสมัย ออกนโยบายและมาตรการที่เป็นไปตามหลักฐานวิชาการที่ถูกต้อง ไม่ใช่ความรู้ลวง ไม่ใช่ความเชื่องมงายเพื่อให้ทุกคนสามารถตัดสินใจประพฤติปฏิบัติได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับชีวิตของแต่ละคน และปลอดภัยไปด้วยกันนี่คือประเด็นสำคัญที่อธิบายปรากฏการณ์ความสูญเสียตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาจากการระบาดของทั่วโลกอีกประเด็นสำคัญถัดมา...อย่าออกนโยบายที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ รศ.นพ.ธีระ ย้ำว่า การชงลดวันกักตัวเป็น 5+5 นั้นไม่สอดคล้องกับหลักฐานวิชาการแพทย์ในปัจจุบัน ดังที่เคยทราบจากงานวิจัยก่อนหน้านี้แล้วว่า หากแยกกักตัว 5 วัน โอกาสที่จะมีผู้ติดเชื้อที่ยังคงสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้นั้นสูงถึง 50%, 7 วัน 25%, และ 10 วัน 10%เกิน 14 วันจึงจะปลอดภัยดังนั้น หากแยกตัวกักตัวน้อยกว่า 14 วัน จึงมีความเสี่ยง และทางที่ควรพิจารณาทำในทางปฏิบัติ โดยพยายามลดความเสี่ยงคือ การแยกตัวกักตัวอย่างน้อย 7-10 วัน โดยต้องแน่ใจว่าสุขภาพดีขึ้นจน “ไม่มีอาการป่วย และตรวจ ATK เป็นผลลบแล้ว” จึงค่อยออกมาใช้ชีวิตโดยป้องกันตัวอย่างเคร่งครัดและควรใส่หน้ากาก N95 หรือเทียบเท่า ข้อมูลวันที่ 18 ส.ค.65 ทีมวิจัยจาก Imperial College London สหราชอาณาจักร ได้เผยแพร่ผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับปริมาณไวรัสในผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 อย่างละเอียดมาก ถือเป็นหลักฐานวิชาการล่าสุดที่ตอกย้ำว่าแนวทาง 5+5 ไม่ใช่นโยบายที่ถูกต้องตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ระบบทางเดินหายใจ The Lancet Respiratory Medicine สรุปสาระสำคัญคือ หากนับจากวันที่ตรวจพบว่าติดเชื้อ...แยกกักตัว 5 วัน มีโอกาสหลุด 75%แยกกักตัว 7 วัน มีโอกาสหลุด 35% แยกกักตัว 10 วัน มีโอกาสหลุด 10% และหากนับจากวันแรกที่เริ่มมีอาการป่วย...แยกกักตัว 5 วัน มีโอกาสหลุด 67% แยกกักตัว 7 วัน มีโอกาสหลุด 30% แยกกักตัว 10 วัน มีโอกาสหลุด 10%ด้วยชุดข้อมูลความรู้ทางการแพทย์ปัจจุบัน ชี้ชัดว่า 5+5 ไม่ใช่นโยบายที่ควรทำ ปัจจุบันการใช้ชีวิต ทำมาหากิน ศึกษาเล่าเรียน และระบบเศรษฐกิจนั้นพอขับเคลื่อนไปได้ แต่ต้องยอมรับความจริงว่าการระบาดในประเทศนั้นมีจำนวนมาก คนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการดูแลรักษามาตรฐานสากลได้ และจำนวนคนเสียชีวิตของไทยก็ยังติดอันดับต้นๆของเอเชียและของโลก“นโยบาย” และ “มาตรการ” ที่ควรทำคือ การกระตุ้นเตือนให้ประชาชนตระหนักรู้ถึงสถานการณ์จริง ใช้ชีวิตอย่างมีสติ และป้องกันตัวอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ“อย่าเข็นนโยบายที่อาจทำให้สถานการณ์ระบาดยืดเยื้อยาวนานกว่าที่ควร หรือรุนแรงมากกว่านี้เลยครับ ทุกชีวิตมีค่า...สำหรับประชาชนรวมถึงนายจ้างลูกจ้าง ควรนำความรู้ไปประยุกต์ใช้สำหรับตนเอง ครอบครัว และกิจการของตนเองตามความเหมาะสม” ต่อเนื่องเชื่อมโยงไปถึงประเด็นประเมินผลกระทบในอนาคต... “กลุ่มผู้สูงอายุ” และ “ผู้ป่วยติดเตียง” ควรดูแลสุขภาพให้ดี รับวัคซีนให้ครบ และระมัดระวังในการใช้ชีวิตมากๆ เพราะเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิต คนในครอบครัวควรช่วยกันดูแล...ระมัดระวังเรื่องการนำเชื้อมาแพร่ให้ท่านถ้าต้องคลุกคลีใกล้ชิดท่านเป็นประจำ คนที่ไปคลุกคลีควรใส่หน้ากากเสมอและตรวจ ATK เป็นระยะน่าจะเป็นประโยชน์...สำหรับ “กลุ่มเด็กๆ” โอกาสติดกันในโรงเรียน และนำไปสู่ครอบครัวมีสูง การฉีดวัคซีนเป็นเรื่องจำเป็น และพยายามป้องกันตัวอย่างเป็นกิจวัตร ผลกระทบต่อเนื่องรวมถึงการขาดเรียนขาดสอบ...บางส่วนจะเกิดปัญหาลองโควิด (Long COVID) ด้านความคิด ความจำ และสมาธิ เหนื่อยล้าอ่อนเพลียและอื่นๆ แต่ละครอบครัวคงต้องเน้นย้ำความรู้...ทักษะในการป้องกันตัวให้แก่เด็กๆ ส่วนโรงเรียน...คุณครูควรปรับสภาพแวดล้อมในห้องเรียนให้ถ่ายเทอากาศให้ดีปรับกระบวนการเรียนการสอนเท่าที่พอจะทำได้...เน้นการคัดกรองแยกเด็กที่ไม่สบายไปตรวจรักษาโดยเร็ว เพื่อลดจำนวนคนที่จะสัมผัส ถัดมา “กลุ่มวัยทำงาน” จะติดกันได้มากระหว่างกินข้าวเฮฮาปาร์ตี้สังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน นอกจากวัคซีนแล้ว ที่ควรเน้นย้ำคือ การใส่หน้ากาก เลี่ยงการกินดื่มร่วมกัน หากต้องกินด้วยกัน ตอนกินไม่ควรคุย จะคุยควรใส่หน้ากาก เพื่อลดความเสี่ยง สำคัญมากคือ ไม่สบายควรไปตรวจรักษา ไม่งั้นแพร่กันเละโดยเฉพาะที่ทำงานที่มีคนแออัด บริการดูแลคนจำนวนมาก เช่น โรงงาน ออฟฟิศ รวมถึงโรงพยาบาล ถึงตรงนี้...ย้ำอีกครั้งว่า “โควิด” ไม่ใช่ “หวัด”ตอกย้ำปัญหาหนักอกที่ทั่วโลกกังวลกันคือ “ลองโควิด” ที่จะบั่นทอนคุณภาพชีวิต สมรรถนะในการดำรงชีวิตและการทำงาน รวมถึงเป็นภาระค่าใช้จ่ายทั้งทางตรง...ทางอ้อมต่อผู้ป่วย ครอบครัว สังคม... แน่นอนว่าทุกคนควรยืนบนขาตนเองให้มั่นคง ด้วยการใช้ความรู้ที่ถูกต้องนำทางการตัดสินใจ “การใส่หน้ากากอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ จำเป็นต้องทำไปอย่างต่อเนื่อง เพราะช่วยลดความเสี่ยงไปได้มากในสถานการณ์นโยบายเช่นนี้ครับ...ถัดจากนี้ จะมีสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิต ขอให้ใช้ความรู้ที่ถูกต้อง...ตัดสินใจเลือกทางปฏิบัติตัวของตนเองให้ดี ไม่ประมาท วางแผนรับมือเวลาเกิดเหตุจำเป็น”ที่สำคัญมากคือ จดจำบทเรียนจากการบริหารนโยบายที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต ทั้งโรคระบาดและยาเสพติด ว่าต้นเหตุมาจากอะไร?... “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ 100%”.