ก็แค่เกมก่อนงานใหญ่...สภาผู้แทนฯได้บรรจุวาระพิจารณางบประมาณประจำปี 2566 จำนวน 3.165 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 85,000 ล้านบาท ร้อยละ 2.74 คิดเป็นสัดส่วน 17.79% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเศรษฐกิจปี 2566 คาดว่าจะขยายตัว 3.2-4.2% มีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุปสงค์ภายในประเทศ การท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ดีแต่ยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก การกลายพันธุ์ และระบาดของโควิด-19คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.5-1.5สำนักงบประมาณได้จัดงบให้กระทรวงต่างๆ อันดับ 1 งบกลาง 5.9 แสนล้าน อันดับ 2 กระทรวงศึกษา 3.259 แสนล้านบาท อันดับ 3 กระทรวงมหาดไทย 3.255 แสนล้านบาท อันดับ 4 กระทรวงการคลัง 2.85 แสนล้านบาท อันดับ 5 ทุนหมุนเวียน 2.06 แสนล้านบาทกระทรวงกลาโหม 1.97 แสนล้านบาท ลดลงจากปี 65 จำนวน 4.3 พันล้านบาทนี่เป็นโจทย์ที่จะถูกนำเสนอให้ ส.ส.พิจารณาในการประชุมตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.-1-2 มิ.ย.65 ซึ่งแต่ละฝ่ายต้องทำการบ้านให้ครบถ้วนกระบวนความ เพราะงบประมาณนั้นมีความสำคัญที่จะนำไปใช้ในการบริหารประเทศแต่ปมปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ฝ่ายค้านแต่ละพรรคได้มีการตั้งประเด็นก่อนที่จะพิจารณา คือจะโหวตคว่ำในวาระที่ 1 เลยทีเดียวต่างจากการพิจารณาทุกครั้งที่ผ่าน ซึ่งตั้งประเด็นที่จะตัดงบส่วนนั้นส่วนนี้ของแต่ละกระทรวง โดยเฉพาะงบกระทรวงกลาโหมมีบางพรรคที่ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลจัดงบไม่ตอบโจทย์ประเทศและจัดกิจกรรมให้ประชาชนร่วมตรวจสอบงบด้วยก็เป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้การใช้งบประมาณเกิดประโยชน์จริงๆแต่หลายพรรคพุ่งไปที่ประเด็นการเมืองเพื่อหวังล้มรัฐบาลด้วยการคว่ำตั้งแต่วาระแรก เพราะถ้าไม่ผ่านรัฐบาลก็ต้องดำเนินการ 2 อย่างคือ1.ยุบสภา2.ลาออกนั่นคือเป้าหมายที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หลังจากใช้ความพยายามมาตลอดในทุกครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จโดยเฉพาะที่ผ่านมาจะใช้การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ จนทำให้ประชาชนรู้สึกว่าไม่ใช่การตรวจสอบแต่เป็นการ “แก้แค้น” ทางการเมืองมากกว่ามาครั้งนี้ก็เตรียมการเปิดซักฟอกแต่ดูเหมือนจะไม่ทันใจ อีกทั้งสถานการณ์การเมืองที่รัฐบาลอยู่ในภาวะ “ขาลง” อย่างหนักก็เลยถือโอกาสรวบยอดจัดการทีเดียวไปเลยโดยเฉพาะเสียงสนับสนุนรัฐบาลที่ปริ่มน้ำ เนื่องจากพรรคเล็กและพรรคเศรษฐกิจไทยที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จับมือกันเพื่อร่วมขบวนการนี้ด้วยเพียงแต่นับยอดแล้วยังไม่เพียงพอ ยังไม่ถึงเป้าสุดท้ายรัฐบาลก็คงผ่านไปได้ แต่ก็เฉียดฉิวเกือบเอาตัวไม่รอด.“สายล่อฟ้า”