แม้อดีตพระกาโตะจะยอมลาสิกขา และนำเงิน 6 แสนบาท มาใช้หนี้วัดเรียบร้อยแล้ว แต่เรื่องก็ยังไม่จบ ตำรวจยังต้องตรวจสอบต่อไป ในขณะที่อดีตพระกาโตะยังเป็นพระ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น เจ้าอาวาส โดยถูกต้องหรือไม่ เพราะถ้าหากเป็นเจ้าอาวาส กฎหมายถือว่าเป็น “เจ้าพนักงาน” นำเงินวัดไปใช้ส่วนตัวไม่ได้อาจกลายเป็นการกระทำผิด ตาม ป.อาญามาตรา 1447 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รักษาเงินวัด เบียดบังทรัพย์เป็นของตน หรือเป็นของคนอื่นโดยทุจริต ต้องโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี หรือตลอดชีวิต ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีได้สั่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ดูแลพระให้ปฏิบัติตามวินัยโดยเคร่งครัดในวงการคณะสงฆ์ ถือว่าพระภิกษุต้องปฏิบัติตามพระวินัย หรือศีล 227 ข้อ สำคัญที่สุดห้ามล่วงละเมิดอาบัติ “ปาราชิก” 4 ข้อโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะขาดความเป็นพระ นั่นก็คือ ห้ามลักทรัพย์ ห้ามฆ่าคนตาย ห้ามเสพเมถุน และห้ามอวดอุตริมนุสธรรม สองข้อแรกคือ การลักทรัพย์และฆ่าคน เป็นความผิดกฎหมายด้วยแต่ปาราชิกข้อห้ามเสพเมถุน อาจจะเคยเป็นความผิดกฎหมายด้วย แต่ปัจจุบันเป็นความผิดวินัยอย่างเดียว เมื่อถูกจับสึกแล้วก็จบ แต่พระผู้ใหญ่บางท่านบอกว่า ประเทศลาวถือว่าการเสพเมถุนเป็นโทษทางอาญาถึงติดคุก มีผู้เสนอให้แก้ไขกฎหมาย ให้การเสพเมถุนเป็นความผิด ทางอาญา มีโทษจำคุกทั้งพระและสีกาอาจมีหลายฝ่ายเห็นด้วย แต่กระแสอาจไม่รุนแรงพอที่จะผลักดันให้แก้ไขกฎหมาย แต่ไหนๆก็ไหนๆ ถ้าจะตรา กฎหมายให้การเสพเมถุนเป็นความผิดทางอาญามีโทษถึงติดคุก ก็น่าจะพิจารณาปาราชิกข้อที่ 4 คือ การอวดอุตริมนุสธรรมด้วย ควรเป็นความผิดทางอาญาด้วยหรือไม่ เพราะในวงการศาสนามีการอวดอุตริฯ มิใช่น้อยมีการอวดอ้างตนเป็นผู้วิเศษ มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆนานา เพื่อสร้างศรัทธาในหมู่ประชาชนให้หลงเชื่องมงาย ตัวอย่างเช่น สำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง มีผู้ตั้งตัวเป็น “พระบิดา” สั่งสอนสาวกราว 30 คน ให้รักษาโรคด้วยการกินขี้ไคล ปัสสาวะ อุจจาระ น้ำลายและเสมหะของพระบิดา ทำให้ชาวพุทธงมงาย ไม่ยึดมั่นในศีลและปัญญาส่วนการที่นายกรัฐมนตรีหวังว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะควบคุม ให้พระภิกษุสามเณรปฏิบัติตามพระธรรมวินัยโดยเคร่งครัด คงจะเป็นไปได้ยาก เจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯบางคนเคยชี้แจงว่า สำนักพุทธฯไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาพระสงฆ์ ซึ่งเป็นความจริง ผู้บังคับบัญชาพระภิกษุ สามเณร ได้แก่องค์กรปกครองในระดับต่างๆ.