สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัส “โควิด-19” ทั่วโลก พบผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 76 ล้านราย...เสียชีวิตแล้วกว่า 1.6 ล้านราย “สหรัฐฯ”...ยังคงเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมากที่สุดในโลก ส่วนเมียนมา ประเทศเพื่อนบ้านของไทยยังพบผู้ติดเชื้อรายวันนับพันรายอยู่อันดับ 69 ของโลก“ประเทศไทย” ท่ามกลางบรรยากาศตื่นตัว “การ์ดอย่าตก” ด้วย ...สถานการณ์การระบาดระลอกใหม่ คนส่วนใหญ่ยังเฝ้ารอความหวัง “วัคซีน” จะเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาคลี่คลายความกังวลทั้งหมดทั้งมวลนี้ต่างประเทศแม้ว่าจะมีข่าวว่าไวรัสโควิดพัฒนากลายพันธุ์ แต่ ดร.ราวี กุปตา ทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ของอังกฤษ ก็ยังคงมั่นใจว่าได้ผล กล่าวว่า สิ่งที่ต้องดูหลังจากนี้คือวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันใช้กับไวรัสตัวที่กลายพันธุ์ได้ผลหรือไม่ เบื้องต้น...มั่นใจว่าวัคซีนได้ถูกออกแบบให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันที่เล่นงานไวรัสได้หลายช่องทาง อย่าเพิ่งวิตกกังวล และวัคซีนต้านไวรัสก็สามารถนำไปปรับแต่งให้เหมาะสมกับไวรัสที่กลายพันธุ์ได้ ขณะที่มหาวิทยาลัยเยล สหรัฐฯ ก็อยู่ระหว่างตรวจสอบสมมติฐานที่ว่า...ไวรัสโควิด-19 มีส่วนทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายสับสน จนสร้างความเสียหายแก่ร่างกายตัวเองหรือไม่ หลังพบหลักฐานบ่งชี้ว่า 5 เปอร์เซ็นต์ของ ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้เกิดอาการ “ออโต้แอนติบอดี” หรือภูมิคุ้มกัน “ยิงพวกเดียวกันเอง”โดยแทนที่จะเล่นงานไวรัสอย่างเดียว...กลับไปทำลายเซลล์ของร่างกาย ทั้งสมอง เส้นเลือด ตับ ระบบทางเดินอาหาร จนทำให้ไวรัสโควิด-19 ลุกลามเกินกว่าที่จะควบคุมได้ ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อล้มป่วยรุนแรงหรือ...ต้องพักฟื้นอย่างต่อเนื่อง ไม่หายดีเสียที แม้จะไม่ตรวจพบไวรัสในร่างกายแล้วรายละเอียดคร่าวๆความคืบหน้า “วัคซีนโควิด” ในภูมิภาคอาเซียนที่เผยแพร่ผ่านสื่อเริ่มจาก...ประเทศไทย ต้องการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม 50 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งประเทศภายในปี 2564 โดยมีแผนจัดหาวัคซีน 26 ล้านโดสจากโครงการเข้าถึงวัคซีนอย่างเท่าเทียม ภายใต้การสนับสนุนของ WHO และจัดหาวัคซีนอีก 26 ล้านโดสจากบริษัทแอสตราเซนเนกา พร้อมหาเพิ่มอีก 13 ล้านโดส เพื่อครอบคลุมกับประชากร 30 ล้านคนประเทศสิงคโปร์ ใช้งบ 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราวสองหมื่นกว่าล้านบาทในการจัดหาวัคซีนเพียงพอกับประชากรทั้งประเทศ คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2564ประเทศอินโดนีเซีย ต้องการวัคซีนอย่างน้อย 246 ล้านโดส มุ่งฉีดให้ประชาชนช่วงอายุ 18-59 ปี จำนวน 107 ล้านคน มีความพยายามสั่งจองวัคซีนจากผู้ผลิตชาติตะวันตก...จีน และพัฒนาวัคซีนของตัวเองประเทศฟิลิปปินส์ ต้องการวัคซีนอย่างน้อย 50 ล้านโดส เพื่อฉีดให้ประชากร 1 ใน 4...เน้นกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ คนงานในอุตสาหกรรม รวมถึงประชาชนที่มีรายได้น้อย...ประชากรกลุ่มเสี่ยง ประเทศมาเลเซีย ต้องการซื้อวัคซีนเป็นจำนวน 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากร และมีรายงานว่าได้หารือกับ 10 บริษัทผู้ผลิตวัคซีน ซึ่งมีวัคซีนอยู่ในขั้นทดลองการรักษาระยะที่ 3 ทำข้อตกลงเพื่อเข้าถึงวัคซีนที่พัฒนาอยู่ความสำเร็จของ “วัคซีน” ยังมาไม่ถึง วันนี้เราๆท่านๆยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงได้ทุกขณะ...“เราทำได้ เราทำให้ โควิด-19 เป็นโรคกระจอกได้”ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หรือ “หมอดื้อ” คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า “ถ้าไม่แทงกันเองไม่ซ้ำเติมคนทำงาน ช่วยกันส่งเสริมวินัย ช่วยเป็นหูตา สอดส่องคนทำผิด กฎหมาย ลักลอบนำคนเข้าประเทศ ธุรกิจที่ไม่ดูแลความแออัด ยัดเยียด การขนส่งแรงงานยัดทะนาน ไม่ปรับที่พักอาศัย...”ย้ำว่า...ความตระหนักในภารกิจที่คนในพื้นที่ทำอยู่ การรับรู้ ความเข้าใจ...เป็นเรื่องสำคัญ และรับทราบความยากเข็ญในการทำงานกับแรงงานต่างชาติจำนวนมหาศาล ความเสี่ยงต่อการติดโรครับรู้ความเสียสละของคนทำงาน และอีกทั้งทางโรงพยาบาลต้องจัดกำลัง ทั้งคนป่วยปกติคนต้องสงสัย การคัดกรอง ทางห้องปฏิบัติการ และการวิจัย...ระวังเชื้อเพี้ยนตรวจไม่เจอจิปาถะสถานการณ์ในวันนี้...ไม่มีทางเลือกแล้ว ต้องตรวจเร็ว คัดตัวกักทันที และแยงจมูกต่อ ต้องช่วยกันผลักดัน...คนแยง คนตรวจจะตายกัน คนป่วยเข้าโรงพยาบาลไม่รู้ว่ามีโควิด แถมโดนไม่รู้ตัวหรือไม่“การตรวจเลือดในสถานการณ์ระลอกสอง...เป็นการตรวจเลือดเพื่อหาแอนติบอดี ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแต่ทราบสถานการณ์การติดเชื้อในประเทศเท่านั้น แต่สามารถนำมาจำกัดการแพร่ได้”ศ.นพ.ธีระวัฒน์ อธิบายว่า การทดสอบ rapid test คือชุดตรวจเลือดจากปลายนิ้ว strip test ทางจุฬาฯใบยา โดย ดร.วรัญญู พูลเจริญ และ ภญ.ดร.สุธีรา เตชคุณวุฒิ ได้เทียบเคียงกับ วิธีการตรวจแอนติบอดี ELISA ที่ทางศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ร่วมมือกับสิงคโปร์ Duke NUSพบว่า...การตรวจทั้งสองแบบมีความแม่นยำพอโดยถ้าได้ผลบวกควรต้องตรวจต่อด้วยวิธี PCR แต่ในกรณีที่ได้ผลลบ แต่มีลักษณะต้องสงสัยควรต้องมีการตรวจซ้ำหลังจากนั้นอีก 3-5 วัน...เนื่องจากแอนติบอดีอาจยังไม่ขึ้น เพราะได้รับสัมผัสโรคมาหมาดๆ“โปรตีนที่ใช้ในการตรวจชุดตรวจว่องไวปลายนิ้วนี้ได้จากใบยาที่กำหนดให้สร้างโปรตีนที่ประสงค์ ที่ใช้เป็น receptor binding protein ของไวรัสโควิด-19 เช่นเดียวกับชุดตรวจ ELISA ที่สามารถทำได้มากตามความต้องการขึ้นอยู่กับการปลูกพืชมากน้อยเท่าใด ถึงเวลาแล้วที่ต้องใช้ rapid test ในมาตรการระลอก 2 ที่เกิดขึ้น” ตรวจจบใน 2 นาที ถ้า “บวก” แยกตัวทันทีตามด้วยแยงจมูก PCR เพราะมีแอนติบอดีบอกว่ามีติดเชื้อ แต่อาจติดนานเป็นเดือนแล้วหายแล้ว หรือกำลังติด กำลังปล่อยเชื้อ จึงต้องกักตัวและหาว่าปล่อยเชื้อได้หรือไม่?ย้ำว่า...การตรวจเลือดปลายนิ้วด้วยชุดตรวจที่ไวที่สุด ไม่หลุดที่ว่านี้...ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 100 หรือ 100 กว่าบาท ปัญหามีว่า...ขณะนี้ยังไม่ได้มีการยอมรับให้ใช้ปฏิบัติข้อกังวลในประเด็นเรื่อง...“สายพันธุ์” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ย้ำว่า ถ้าจะกลัวต้องถามตัวเองว่าขณะนี้ยังมีวินัยหรือไม่ คำว่า...สายพันธุ์หมายถึงไวรัสนั้นๆมีการผันแปรของรหัสพันธุกรรมจากเดิมจนคงที่อย่าลืมว่า “ประเทศไทย” มีทุกสายพันธุ์ตั้งแต่เดือนมีนาคมแต่ไม่มีคนตายเป็น 10,000 เป็น 100,000 แสดงว่าระบบสาธารณสุขของเราเข้มแข็งจนถึงรากหญ้าและเป็นความร่วมมือร่วมใจกันของทุกภาคส่วนการดูเรื่องสายพันธุ์ ตัวอย่างที่ชัดเจนมาเนิ่นนาน เช่น ในไวรัสเชื้อพิษสุนัขบ้า การปรับเปลี่ยนรหัสพันธุกรรมของไวรัสจะคล้องจองกับสัตว์แต่ละชนิดจนกระทั่งสามารถเป็นลายเซ็น (signature) ว่า...ถ้าพบเชื้อรหัสเช่นนี้ จะมีต้นตอจากค้างคาวชนิดไหน กินพืช กินแมลง สปีชีส์ อะไร เป็น...ไวรัสสกั๊ง หมาจิ้งจอก หมาป่า แรคคูน ฯลฯและ...ถ้าเสถียรจนกระทั่งกำหนดระยะฟักตัวคงที่ ระยะเวลาจนเสียชีวิต “ในสัตว์ทดลอง” มีระยะตายตัว จะเป็นสายพันธุ์ (strain) แต่รหัสจำเพาะเช่นนี้ไม่ได้กำหนดว่าจะแพร่เร็ว ช้า รุนแรงหรือไม่...“ในมนุษย์”เพราะประสิทธิภาพในการแพร่ ความเสี่ยงในการติดและความรุนแรง มีปัจจัยภายนอกหลายอย่างและจากตัวไวรัสเองที่มีรหัสพันธุกรรมส่วนอื่นๆที่ยังคงผันแปรไปต่อเนื่อง แม้เมื่อเข้าคนคนนั้น จะปรับรหัสไปในระหว่างดำเนินการติดเชื้อ...“โควิด-19” มีลักษณะดังกล่าวเหมือนหัด ซิกาไวรัส โดยที่เชื้อซิกาที่เข้าแม่ขณะตั้งท้อง...“เมื่อเข้าเลือด รก จนถึงเด็ก และสมองเด็ก จนหัวลีบ จะมีรหัสแตกต่างกันทุกระยะเพื่อหลบหลีกปราการภูมิคุ้มกันในระดับต่างๆจนไวรัสเมื่อถึงหัวเด็ก จะเป็นตัวจำเพาะที่ก่อให้เกิดความผิดปกติของเซลล์สมอง”สถานการณ์การระบาดระลอกใหม่...วิถีนิวนอร์มอลที่ยังไม่รู้จุดสิ้นสุด “หมอดื้อ” ขอเสกคาถาปัดเป่าส่งท้ายปี 2563...สั้นๆว่า “ประเทศไทยหายป่วย หายไข้ เพี้ยง”.