กว่าสองพันปีที่แล้ว เมื่อมนุษย์เจอภัยธรรมชาติ หรือโรคระบาด...มนุษย์ยังไม่ฉลาดพอที่จะดูแลรักษาตัว ก็ต้องพึ่งพาความเชื่อ จากสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น เทพเจ้าบนฟ้า ไปถึงหมา แมวน้อยคนนักที่จะรู้วิถีชีวิตแมว โลดโผนพิสดาร บางยุคสยดสยอง เกินจินตนาการตามเรื่องบังเอิญ ที่ทำให้รู้จักชีวิตแมว เกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ.1952 ที่ห้องใต้หลังคาโค้ง พิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติวิทยา กรุงลอนดอน เจ้าหน้าที่พบลังขนาดใหญ่ในลังมีซากมัมมี่แมว ต้นตระกูลแมวบ้าน สัตว์เลี้ยงมีค่าที่สุดของชาวอียิปต์ นับได้ 192 ซาก กะกันว่ามีอายุขึ้นไปถึงศตวรรษที่ 2 ถึงศตวรรษที่ 2 ก่อน ค.ศ. (ปริศนา ประวัติศาสตร์โลก พีรยุทธ พลตรี บก.ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ พ.ศ.2562)นอกจากซากแมว ยังมีซากพังพอน 7 ซาก สุนัข 3 ซาก สุนัขจิ้งจอก 1 ซากซากเหล่านี้ เดิมถูกฝังไว้ที่กิซา ใกล้ไคโร เซอร์ ดับเบิลยู เอ็ม ฟลินเดอร์ เพตทรี นักอียิปต์วิทยา ยกให้พิพิธภัณฑ์ลอนดอน ตั้งแต่ค.ศ.1907 แต่ถูกลืมสำหรับนักธรรมชาติวิทยา นี่คือการค้นพบยิ่งใหญ่ ทำให้เห็นถึงการนำแมวป่ามาฝึกให้เป็นสัตว์เลี้ยงอยู่กับคนศตวรรษที่ 4 ก่อน ค.ศ. คนอียิปต์เคารพยำเกรงแมวมาก มันเป็น ตัวแทนของเทพีบาสต์ เทพีหัวแมวหลังศตวรรษที่ 19 นักโบราณคดีขุดพบสุสานที่เมืองบูบาสต์ทิส บนสามเหลี่ยมแม่น้ำไนล์ นี่คือสุสานใต้ดินของพวกแมวโดยเฉพาะ มีมัมมี่ของแมวนับแสนตัวไม่มีใครสนใจ เห็นว่าเป็นซากแมวธรรมดา มัมมี่แมวที่มีคุณค่าถูกขายไปทำปุ๋ยในราคาถูกการพบลังซากมัมมี่แมว ปลุกความสนใจนักสัตววิทยา ตรวจสอบได้ความรู้ว่า ในซากแมว 192 ตัว สามตัวใหญ่ที่สุดยังคงลักษณะของแมวป่า ส่วนที่เหลือ 189 ตัว คล้ายแมวป่าแอฟริกัน หรือแมวทรายอียิปต์การศึกษาได้ข้อเท็จจริงบางประการ เช่นที่เคยเชื่อกันตามที่เฮโรโดทัส เขียนไว้เมื่อ 450 ปี ก่อน ค.ศ.ว่า คนอียิปต์ไม่ฆ่าแมว ก็พบว่า ซากแมวทั้งหมดอายุไม่ถึงปี สองตัวอายุสองปีไม่ได้ตายแบบธรรมดาแมวเหล่านี้ พวกพระเลี้ยงเอาไว้ทำมัมมี่ ขายให้คนเอาไปบูชาเทพีบาสต์รูปสลักเทพีทำจากหินแกรนิตแดงสูงกว่า 500 ฟิต ตั้งอยู่ในวิหารบูบาสต์ทิส ศูนย์กลางแห่งความเคารพ มีแมวจำนวนมากคลอเคลียอยู่แทบเท้า ส่งเสียงร้อง “เหมียวๆ” ลั่นวิหารเชื่อกันว่าม่านตาแมว เป็นเครื่องหมายวงรอบดวงอาทิตย์เปลี่ยนแปลง ไปตามอารมณ์และการรับรู้ เปรียบได้กับความลึกลับของดวงอาทิตย์เทศกาลเฉลิมฉลองเทพีบาสต์ เทพีแห่งความเพลิดเพลินสนุกสนาน ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ มีคนมากกว่า 7 แสนคน ดื่มเหล้า สำมะเลเทเมากันอย่างอึกทึกครึกโครมยุคสมัยนั้น หากแมวบ้านใดตาย คนในบ้านต้องโกนคิ้วแสดงความเสียใจ 80 ปีก่อน ค.ศ.ทหารโรมันเผลอทำให้แมวตาย ฝูงชนรวมตัวกันตามไปเอาตัวเขามารุมลงบาทาอีกวิถีชีวิตตรงกันข้าม มีบันทึกว่า...ปลายศตวรรษที่ 15 ผู้นำศาสนาในยุโรป เห็นแมวเป็นปีศาจ เชื่อว่ามันมีประสาทไวต่อดินฟ้า อากาศ ทำนายเรื่องพายุได้คล้ายแม่มด มีคำสั่งให้ล่าพวกบูชาแมว และสั่งฆ่าแมวทุกวิธีกดน้ำ ตี เผา โยนลงจากหอคอย จนแมวยุคนั้นเกือบสูญพันธุ์ผมเป็นเด็กรุ่นท่องบทดอกสร้อย “แมวเอ๋ย แมวเหมียว รูปร่างปราดเปรียวเป็นนักหนา ร้องเรียกเหมียวเหมียวเดี๋ยวก็มา เคล้าแข้งเคล้าขาน่าเอ็นดู”นึกไม่ถึงว่า ชะตากรรมของแมวช่างโลดโผนพลิกผัน...ทั้งน่ากลัว น่าสงสาร...ถึงปานนั้นทุกสรรพสัตว์ในโลก หมุนเวียนอยู่ในโลกธรรม มีลาภ เสื่อมลาภ สุขทุกข์ สรรเสริญ นินทา ไม่ว่าแมว หมาหรือมนุษย์ หนียังไง ก็หนีไม่พ้น ทุกตัวทุกตน.กิเลน ประลองเชิง