เมื่อวานนี้ผมเขียนถึงเหตุการณ์วันพายุฝนถล่มกรุงอย่างหนักเมื่อวันศุกร์ที่ 27 เมษายน นำความทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัสมาสู่พี่น้องชาวกรุงส่วนมาก แต่ผมโชคดีไปลงสู่สถานีรถใต้ดินที่สวนจตุจักรได้โดยไม่เปียกเลย และพบว่าผู้คนในสถานีรถใต้ดินต่างๆ รวมทั้งผมด้วยต่างมีความสุขอย่างยิ่ง (บันทึกวันฝนถล่มกรุง “ใต้ดิน” มีความสุขที่สุด)โดยเฉพาะผมมีความสุขถึงขนาดระบุว่าเป็นค่ำคืนแห่งความสุข คืนหนึ่งในรอบหลายๆปีเลยทีเดียววันนี้ขออนุญาตเล่าต่อนะครับความประทับใจประการแรกที่เกิดขึ้นแก่ผมก็คือ ทันทีที่วิ่งหนีฝนเข้าไปในทางลงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสวนจตุจักรในด้านที่เป็นบันไดเดินขึ้นลง มิใช่บันไดเลื่อน ซึ่งเป็นจุดที่ผมยืนหลบฝนอยู่นั้น...ผมพบว่ามีผู้คนนับเป็นร้อยคน ซึ่งส่วนหนึ่งคงเป็นผู้โดยสารที่เดินทางจะมาขึ้นสถานีนี้ และส่วนหนึ่งคงจะเป็นพี่น้องประชาชนที่หลบฝนตกหนักเข้าไปนั่งเรียงรายตามขั้นบันไดจากขั้นแรกไปจนถึงขั้นสุดท้ายเมื่อลงไปถึงพื้นด้านล่างสุด ซึ่งเป็นทางเดินไปสู่สถานีรถไฟฟ้า ซึ่งจะมีช่องตรวจรักษาความปลอดภัยกั้นอยู่ ก็ปรากฏว่ามีผู้คนนั่งอยู่กับพื้นยาวเหยียดอีกหลายร้อยคนหลบฝนอยู่เช่นกันผมเห็นภาพแล้วก็อดยิ้มแย้มเสียมิได้ และคลายความทุกข์ความกังวลที่เคยเกิดขึ้นในใจผมมาหลายปีแล้วในบัดเดี๋ยวนั้นนั่นก็คือความกลัวและความเชื่อที่ว่า อุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินนั้นอยู่ภายใต้พื้นดินเหมือนรูจิ้งหรีด ซึ่งเวลาฝนตกน้ำจะไหลท่วมรู ทำให้จิ้งหรีดต้องคลานหนีออกมา เวลาเด็กๆอย่างพวกเรายุคโน้นจะไปจับจิ้งหรีด จึงมักจะไปรอจับตอนฝนหนักๆนี่แหละครับเห็นสภาพเมื่อวันศุกร์ที่แล้วก็โล่งใจเลยครับ เพราะน้ำไม่ไหลลงรูจิ้งหรีด เอ๊ย! อุโมงค์รถใต้ดินแน่ ขนาดข้างบนแถวๆสวนจตุจักรท่วมหนักมาก อย่างที่ผมเล่าวันก่อน แต่ในสถานีรถใต้ดินตั้งแต่บันไดขั้นแรกลงมาไม่มีน้ำเลยสักหยดเดียว...กลายเป็นที่หลบฝนเหมือนคนไทยในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ลงไปอยู่ในหลุมหลบภัยเพื่อหลบลูกระเบิดไปด้วยประการฉะนี้จากสถานีจตุจักรผมเริ่มหิวแล้ว เพราะยังไม่รับประทานอาหารเย็น ก็นึกขึ้นมาได้ว่า ผมควรไปที่ สถานีลาดพร้าว ก่อน เพราะข้างบนมีร้านขายอาหารว่าง รวมทั้งขนมจีบซาลาเปาอยู่ด้วย ผมควรไปรองท้องที่นั่นผมต่อรถไปที่สถานีลาดพร้าวตามที่ใจนึกไว้ พอไปถึงก็พบว่าที่นั่นมิใช่จะมีเพียงร้าน “ซาลาเปา” ข้างบนสถานีเท่านั้น แต่มี “กูร์เมต์ มาร์เก็ต” ขนาดไม่เล็กเลย ไปเปิดบริการด้วยท่านผู้อ่านคงนึกภาพออก กูร์เมต์ มาร์เก็ต เป็นตลาดสดทันสมัยในเครือ “เดอะ มอลล์” มีของกินของขายทั้งสดทั้งคาวพรั่งพร้อมผมได้ข่าวว่าเขาไปเปิดบริเวณชั้นใต้ดินของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินลาดพร้าวมานานแล้ว แต่ไม่เคยแวะไปอุดหนุนมาก่อนไปครั้งแรกในคืนวิกฤติเลยละครับ...ปรากฏว่ามีผู้คนไปอุดหนุนแน่นเอี้ยด คงจะหลบฝนเช่นเดียวกันผมแวะไปซื้อ “ซูชิ” มากล่องใหญ่ บวกน้ำดื่มขวดใหญ่ นั่งรับประทานอิ่มเอมไปเลยทีเดียวอิ่มหมีพีมันจากสถานีรถใต้ดินลาดพร้าวเรียบร้อย ผมก็นั่งต่อไปลงสถานีเพชรบุรีเพื่อเตรียมไปต่อรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ตามเป้าหมายผมไปถึงสถานีเพชรบุรี เดินขึ้นสะพานลอยเชื่อมต่อไป สถานีแอร์พอร์ตลิงก์ มักกะสัน ประมาณ 2 ทุ่ม กับ 10 นาทีผู้คนแน่นเอี้ยดจริงๆดังที่คาดไว้ รอคิวยาวเหยียด ผมต้องรอถึง 4 เที่ยว จึงได้ขึ้นเที่ยวละประมาณ 7 นาที ใช้เวลารอ 28 นาทีที่ผมประหลาดใจก็คือ ผู้คนที่รออยู่ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวไม่มีใครหงุดหงิดเลย นักท่องเที่ยวยืนคุยอย่างยิ้มแย้มลากกระเป๋าใบเบ้อเริ่ม ส่วนคนไทยก็สุขอยู่กับการดูมือถือยืนรอไปเรื่อยๆคนไทยน่ะช่างเถอะ ผมไม่ห่วงหรอก ห่วงแต่นักท่องเที่ยวกลัวเขาจะโกรธจะหงุดหงิด ที่รอแล้วไม่ได้ขึ้นซะที ขบวนแล้วขบวนเล่าเมื่อเขาไม่โกรธแต่กลับมีความสุขอย่างที่เห็น ผมก็เลยมีความสุขไปด้วยผมถึงสถานีรามคำแหงอีก 5 นาทีต่อมา แม่บ้านผมมารอรับอยู่แล้ว ...ปรากฏว่าโชคดีทางด้านโน้นรถไม่ติด เพราะคงติดอยู่ในเมืองเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ผมถึงบ้านที่บางกะปิเพียง 3 ทุ่มครึ่งเท่านั้นเองทำเวลาดีกว่าที่คาดไว้เยอะ...จะไม่ให้ผมบันทึกถึงเหตุการณ์วันฝนถล่มกรุง 27 เมษายนด้วยความสุขได้อย่างไรล่ะครับ.“ซูม”