มหาอุทกภัยครั้งใหญ่ถล่ม “หลายจังหวัดภาคใต้” สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจในไตรมาสที่สี่ เสี่ยงติดลบส่งท้ายปี 2568 ต้องสูญรายได้ภาคการท่องเที่ยวมหาศาล และสะท้อนปัญหาการจัดการภัยพิบัติที่อาจทำให้การฟื้นตัวยืดเยื้อ โดยเฉพาะหาดใหญ่ที่เป็นเมืองสำคัญในการรองรับชาวมาเลเซีย และสิงคโปร์เหตุการณ์ครั้งนี้ถูกประเมินว่า “รุนแรงกว่าอุทกภัยปี 2543 และปี 2553” ที่ได้ทำลายบ้านเรือน สินทรัพย์ รายได้แรงงาน โครงสร้างพื้นฐาน และมีผู้ต้องเสียชีวิตจากความล้มเหลวของการจัดการภัยพิบัติขนาดใหญ่จำนวนมาก จนอาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และภาคการท่องเที่ยวของภาคใต้ที่ต้องใช้เวลานานมากขึ้นแล้วความล้มเหลวในการรับมือภัยพิบัติขนาดใหญ่นี้ยังสะท้อนปัญหาระบบราชการที่ยังทำงานแบบตั้งรับ มุ่งเน้นการเยียวยา และบรรเทาความเดือดร้อนหลังเหตุการณ์มากกว่าการวางแผนเชิงรุกลดความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ ทั้งยังพบความไม่เป็นเอกภาพในการสั่งการทับซ้อนกันหลายหน่วยงานทำให้การตัดสินใจการปฏิบัติงานเคลื่อนย้ายทรัพยากร เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติไม่มีประสิทธิภาพ “จนไม่เท่าทันต่อสถานการณ์ที่มีอันตรายต่อชีวิต” แต่กลับยังเห็นนักการเมืองไปผัดกับข้าว ลุยน้ำ แจกของออกสื่อ แทนที่จะใช้เวลาไปพัฒนาระบบในการรับมือกับภัยพิบัติประสานงานแก้ปัญหาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นสิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า “หัวเมืองใหญ่ที่มีประวัติน้ำท่วมซ้ำซากยังคงมีความเสี่ยงสูง” เพราะระบบบริหารจัดการภัยพิบัติมิได้ถูกปรับให้ทันต่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงและภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้น รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.หอการค้าไทย และอดีตกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ บอกว่า เหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนให้ “ทุกเมืองใหญ่จำเป็นต้องพร้อมรับมือภัยพิบัติ” เพราะหากเกิดน้ำท่วมในเขตเมืองความเสียหายทางเศรษฐกิจ ทรัพย์สิน และชีวิตประชาชนจะรุนแรงเหมือนดั่งกรณีหาดใหญ่ที่เห็นชัดเจนว่า “การเตรียมการและการบริหารจัดการภัยพิบัติไม่ดี” ผลกระทบจะยิ่งทวีความรุนแรง เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ “จำเป็นต้องมีการถอดบทเรียน” เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความผิดพลาดซ้ำเดิมอีก เพราะคาดการณ์ว่าผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติต่อ “คุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากภาวะโลกร้อน” ทำให้คนไทยอาจต้องเผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อมเข้าขั้นวิกฤติหลายมิติหลายด้านเพราะปัญหาน้ำท่วมฉับพลัน ฝนตกหนัก น้ำท่วมรุนแรง “ล้วนมาจากปรากฏการณ์ลานีญา” ที่มีความเกี่ยวพันกับภาวะโลกร้อนอันเป็นผลจากการพัฒนาแบบทำลายสิ่งแวดล้อม และใช้พลังงานฟอสซิล จนทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกทำลายชั้นบรรยากาศโลก และก่อเกิดความแปรปรวนของภูมิอากาศอย่างรุนแรงตามมาตามข้อมูลนักวิจัยเกี่ยวกับลานีญาในไทย พบว่า ลานีญาอาจยาวนานถึง 9-12 เดือน สิ่งนี้จะทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงก่อเกิดปริมาณน้ำฝนอาจสูงถึง 14,000 ล้าน ลบ.ม. การคาดการณ์นี้มีการนำเสนอข้อมูลล่วงหน้ามา 1-2 ปีแล้ว แต่การตัดสินใจทางนโยบาย และการดำเนินการในระบบราชการหลายกรณีไม่ได้อิงข้อมูลที่มีอยู่เท่าไรทำให้การตัดสินใจ “การสั่งการดำเนินการไม่มีประสิทธิภาพ และล้มเหลว” นำมาสู่ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ความเสียหายทางทรัพย์สิน ความเสียหายทางด้านสุขภาพ และคุณภาพชีวิตจากการชะลอตัวลงของการท่องเที่ยว ดังนั้นภัยพิบัติที่เกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนยิ่งกว่านั้นภาวะการเปลี่ยนผ่านจาก “เอลนีโญสู่ลานีญาในประเทศไทย” ก็มักทำให้ภาคเกษตรกรรมได้รับความเสียหายรุนแรงในหลายพื้นที่ เพราะต้องเจอน้ำท่วมซ้ำซาก และในช่วงหน้าแล้งก็เผชิญกับภัยแล้งอย่างหนักหน่วง ดังนั้นการจะบรรเทาปัญหาเหล่านี้ต้องปรับยุทธศาสตร์เป็นการพัฒนาแบบยั่งยืนด้วยการเร่งลงทุนระบบบริหารจัดการน้ำ และปรับสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน “เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นตอ” เพราะความไม่มั่นใจต่อการบริหารจัดการอุทกภัยทั้งระบบนั้นสังคมเริ่มวิตกกังวลว่าอาจเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ กระทบการดำเนินชีวิต การทำงาน รายได้และทรัพย์สิน ซ้ำรอยเหตุการณ์หาดใหญ่ หรือวิกฤติปี 2554แล้วยิ่งมีงานวิจัยกรีนพีซเตือนใน 5 ปีข้างหน้า “กรุงเทพฯอาจจมทะเล” จากแนวโน้มระดับน้ำทะเลที่ IPCC คาดว่าสูงขึ้น 0.43-0.84 เมตรในปี 2643 เมื่อรวมกับน้ำเหนือไหลหลากยิ่งเพิ่มความเสี่ยงแล้วหากพื้นที่กรุงเทพฯ 80% จมทะเลจริงๆจะกระทบประชาชน 10 ล้านคน พื้นที่เสียหาย 1,512 ตร.กม.มูลค่าความเสียหาย 18.6 ล้านล้านบาทนอกจากนี้ส่วนใหญ่พื้นที่กรุงเทพฯกว่า 96% “เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำที่เสี่ยงน้ำท่วมหากระดับน้ำทะเลหนุนสูง” โดยมีงานวิจัยของ Greenpeace ฉายภาพอนาคตว่ากรุงเทพฯอาจเผชิญน้ำท่วมใหญ่ในปี 2573 อีกด้วยจริงๆแล้ว “กรุงเทพฯ” มักเผชิญน้ำเหนือหลาก ฝนหนักฉับพลัน และน้ำทะเลหนุนจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ทำให้รับมือยากกว่าเมืองอื่น อีกทั้งยังมีความหนาแน่นประชากรสูงยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อความเสียหายหากเกิดน้ำท่วมใหญ่ เพราะอย่าลืมสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต “กรุงเทพฯ” ย่อมมีโอกาสเกิดคล้ายหาดใหญ่ได้ ดังนั้นทุกเมืองใหญ่ต้องเตรียมการล่วงหน้า “เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอย” โดยอาศัยข้อมูลที่ครบถ้วนถูกต้องสำหรับนำไปใช้ในการตัดสินใจที่ควรถูกรวบรวมให้อยู่ใน ศูนย์กลางเดียวสิ่งสำคัญต้องมีระบบสั่งการแบบ Single Command ให้การทำงานคล่องตัวตอบสนองสถานการณ์ได้รวดเร็ว เพราะความเสียหายรุนแรงส่วนหนึ่งมาจากการบริหารจัดการภัยพิบัติขนาดใหญ่ที่ยังไม่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะเรื่องสายบังคับบัญชาควรเป็นเอกภาพแบบ Single Command เพื่อให้การรับมือเป็นระบบมีประสิทธิผลแล้วการโยกย้ายข้าราชการก็ควรยึดหลักคุณธรรม และความรู้ความสามารถมากกว่าเหตุผลทางการเมือง มิฉะนั้นจะทำให้การทำงานขาดความต่อเนื่อง ทั้งอาจทำให้บุคลากรที่ไม่เหมาะสม หรือไม่มีความเชี่ยวชาญเข้ามารับผิดชอบในตำแหน่งสำคัญ ซึ่งย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบราชการโดยรวมเช่นนี้ขอเสนอนโยบาย 6 ข้อ คือ 1.สร้างเขื่อนกั้นน้ำ หรือถนนเลียบชายฝั่งยกสูง 2.ปลูกป่าชายเลน เป็นพื้นที่กันชนซับน้ำรองรับคลื่นทะเลตลอดแนวชายฝั่ง 3.จัดระเบียบการใช้ที่ดินริมชายฝั่ง 4.กระจายการลงทุนไปภูมิภาค 5.หันมาใช้พลังงานหมุนเวียน 6.ศึกษาการย้ายเมืองหลวงจริงจังเหมือนเมืองหลวงแบบกรุงจาการ์ตาสุดท้ายข้อเสนอนี้ “รัฐบาลใหม่” หลังการเลือกตั้งควรเริ่มต้นลงทุนเพื่อป้องกันกรุงเทพฯ และปริมณฑลจากภัยพิบัติอนาคตที่กำลังเผชิญน้ำท่วมจากทะเลหนุนสูง และน้ำหลากจากทางเหนืออยู่นี้.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม