คนไทยสมัยโบราณ เชื่อเรื่องฤกษ์และยาม ยามที่มีชื่อเสียงใช้กันมานานคือ ยามสามตา และยามแก้วสามดวง สองยามนี้ ใช้ทายของหายจะได้คืนหรือไม่ คนที่ต้องการไปพบจะอยู่หรือไม่ไม่เชื่อถือกันมาก ถึงขนาดสักเหมือนเป็นยันต์ไว้ในตัว เหมือนยามอุบากองถึงสมัยที่มีการพิมพ์ ก็มีการพิมพ์ยามอุบากองไว้ในหนังสือปฏิทินเล่มเล็กๆ ที่หน้าปกเป็นรูปนางสงกรานต์ เนื้อหาในเล่ม บอกลักษณะนางสงกรานต์ นาคให้น้ำ เกร็ดตำราหมอดู ฯลฯยามอุบากอง เขียนเป็นตาตาราง บอกเวลา เช้า สาย บ่าย เที่ยง เย็น ของแต่ละวัน อาทิตย์ จันทร์...ถึงเสาร์ยามเช้า เริ่มตั้งแต่เวลา 21.00 น. ถึง 08.00 น. ยามสาย 08.30 น. ถึง 11.00 น. ยามเที่ยง 11.30 น. ถึง 12.30 น. ยามบ่าย 12.30 น. ถึง 17.30 น. และยามเย็น 17.30 น. ถึง 18.30 น.ในตาตาราง จะบอกว่าวันไหน ยามอะไร จะดีหรือไม่ดี โดย มีเครื่องหมายเป็นรูปเลขศูนย์หนึ่งวง สองวง สี่วง หรือมีกากบาท มี ผู้แต่งคำทำนายเป็นกลอนไว้ดังนี้ศูนย์หนึ่งอย่าพึงจร แม้ราญรอนจะอัปรา สองศูนย์จงยาตรา จะมีลาภเจริญดี สี่ศูนย์จะพูนพล ถ้าจรดลจะได้ลาภเจริญศรี ปลอดศูนย์พูนสวัสดิ์ ภัยพิบัติลาภบ่มี กากบาทตัวอัปรีย์ ถ้าจรลีจะอันตรายชื่อ“อุบากอง” เป็นชื่อพม่า คนไทยนิยมใช้ เล่าลือกันว่าเป็นตำราบอกยามได้แม่นฉมัง เพราะมีเรื่องเล่าประกอบว่า เจ้าของยาม เป็นนายทัพพม่า ติดคุกไทย แต่ใช้ยามนี้แหกคุกหนี ยามนี้จึงมีอีกชื่อ ยามพม่าแหกคุกส.พลายน้อย เล่าเรื่องอุบากอง ไว้มากกว่าที่เคยอ่านใน “รู้ร้อยแปด” เล่ม 2 (สำนักพิมพ์สารคดี พ.ศ.2544) ความจริง อุบากองไม่ใช่พม่า แต่เป็นมอญพ่ออุบากอง มาอยู่กรุงศรีอยุธยาได้คนไทยเป็นภรรยา จนเมื่อกรุงศรี– อยุธยาแตก พ่อและลูกชายอุบากอง ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยไปอยู่พม่าส่วนแม่และพี่น้อง ยังอยู่ไทย มีบ้านอยู่บางแคในสมัยรัชกาลที่ 1 พระเจ้าปะดุง นำเจ็ดทัพโจมตีเมืองเชียงใหม่ แต่รบแพ้ไทย ทหารพม่ามากมายถูกจับเป็นเชลย อุบากองเป็นนายทัพที่ 3 ยกทัพเข้ามาตีโอบล้อม แต่ก็ถูกทัพไทยตีแตกพ่าย ถูกจับเป็นเชลยพม่าชุดล่าแม่ทัพอุบากอง สักยันต์เหมือนตาหมากรุกไว้ที่ท้องแขน สะดุดตาฝ่ายไทยขณะถูกคุมตัวเข้ากรุงเทพฯ รัชกาลที่ 1 ทรงเบิกตัวมาซักถาม อุบากองก็ตอบตามความสัตย์จริงและเมื่อทรงรู้ว่ามีแม่เป็นมอญอยู่เมืองไทย ก็ทรงโปรดพระราชทานเงินตราและเสื้อผ้าให้ใช้ไม่ขัดสน แต่ยังให้ขังไว้ที่คุกวัดโพธิ์ระหว่างการถูกขังคุก อุบากองได้สอนวิชา “ยามอุบากอง” ให้พวกนักโทษด้วยกัน จนเมื่อมีเหตุแหกคุกหนีกลับพม่าไปได้ คนไทยก็เชื่อว่าเพราะใช้ยามอุบากอง จึงจดจำและลอกต่อกันแพร่หลายแต่ความจริง ในพงศาวดารไทย ไม่พบเชลยพม่าแหกคุกในสมัยรัชกาลที่ 1 การแหกคุกมีในสมัยรัชกาลที่ 2 เชลยพม่าฆ่าพัสดี และผู้คุมตายเป็นอันมาก แต่ก็ถูกทางการไทยติดตามไปจับได้แถวบ้านทวายทั้งนักโทษเชลย ทั้งพระยาทวาย ที่ถูกข้อหาช่วยเหลือ ถูกสั่งประหารในพงศาวดารไม่ปรากฏชื่อเชลยพม่าชื่ออุบากอง แต่ตามความเชื่อของไทยที่นับถือและใช้ยามอุบากอง เชื่อกันว่า เขาใช้วิชายามอุบากอง หนีไปได้ก่อนหน้านั้นนานแล้วบางเรื่องเล่า ญาติฝ่ายแม่อุบากองติดสินบนช่วย รวมกับเรื่องแม่ทัพอุบากองรบแพ้ถูกจับก็ลดเรื่องความขลังลงไปมาก วันนี้ชื่อยามพม่าแหกคุก กลายเป็นยามพม่าติดคุกไปแล้วแม่ทัพนายกองสมัยใหม่ คิดการใหญ่หลายครั้ง มีข่าวใช้ฤกษ์ยามโหรจากเชียงใหม่ ชื่อวารินโหรเขาทำนายครั้งล่า ฟังได้ว่า รัฐบาลทหารจะอยู่ต่อไปได้อีกหลายปี นักการเมืองที่กำลังเลือกข้าง น่าจะฟังหูไว้หู ส่วนทหารหนุ่มๆ หากจะคิดการใหญ่ นึกถึงเรื่องยามพม่าติดคุกไว้บ้างก็แล้วกัน.กิเลน ประลองเชิง