จากกรณี กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ถอนฟ้อง 3 นักสิทธิมนุษยชน มี น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ. มูลนิธิผสานวัฒนธรรม น.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ หัวหน้ากลุ่มด้วยใจ และนายสมชาย หอมลออ ที่ได้แจ้งความที่ สภ.เมืองปัตตานี วันที่ 17 พ.ค.2559 ในความผิดร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาและความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 นั้น นางคอลีเยาะ หะหลี แกนนำสตรีจังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดเผยว่า การถอนฟ้องในครั้งนี้ทำให้สังคมมองว่าทั้งสองฝ่ายยังพูดความจริงไม่หมด การหยุดดำเนินคดีกลางทางถือเป็นเรื่องตลก สังคมไม่สามารถรับรู้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้เลยแทนที่จะเดินหน้าไปให้ถึงที่สุด แต่ถ้ามองในแง่บวกก็เป็นสิ่งดีที่ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจยุติการต่อสู้คดีลง นักสิทธิมนุษยชนเปรียบเหมือนด้ามพร้า ฝ่ายความมั่นคงเปรียบเสมือนเข่า ถ้าหักด้ามพร้าด้วยเข่าก็เจ็บเข่า พร้าหักก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ มันเสียทั้งสองฝ่าย หากต้องเปลี่ยนด้ามตลอดก็คงเป็นไปไม่ได้นางคอลีเยาะเปิดเผยอีกว่า ทั้งสองฝ่ายควรที่จะกล้าเผชิญหน้าและพูดความจริงทั้งหมด ช่วงที่ตัดสินใจดำเนินคดีนั้นคิดอย่างไร แล้วมาตัดสินใจหยุดกลางทางเพราะอะไร ทุกฝ่ายต้องทำความจริงให้ปรากฏ ไม่ใช่หนีหรือปล่อยให้ความจริงมันหายไป ซึ่งต้องร่วมกันสร้างความจริงให้ปรากฏ ฝ่ายไหนบิดเบือนข้อมูล ฝ่ายไหนพูดความจริง มันต้องชัด ไม่ใช่ปล่อยให้สังคมตั้งข้อสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น จึงไม่แปลกที่มีชาวบ้านเกิดอาการอึดอัดใจ และรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายควรมองภาพรวมทั้งหมดกับสิ่งที่เกิดขึ้น“ไม่ใช่ว่านึกอยากจะฟ้องก็ฟ้อง นึกอยากจะถอนฟ้องก็ถอน หากมีวาระอื่นแฝงคิดว่ามันคงไม่จบแบบแฮปปี้แน่ หากทำเพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายตัวเอง นั่นก็หมายถึงทั้งสองฝ่ายกำลังแสดงละครให้ประชาชนดู ไม่ต่างอะไรกับการทำร้ายประชาชน จึงเห็นควรให้สร้างความจริงให้เกิดขึ้น และพูดความจริงทั้งหมด” แกนนำสตรีจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวในที่สุด.