“วิกฤติน้ำท่วม”...คำที่คนไทยคุ้นเคยจนชาชิน แต่กลับหนักหน่วงขึ้นทุกปี! จากปรากฏการณ์โลกร้อนที่ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักผิดปกติและการจัดการน้ำที่ยังไม่สมบูรณ์ ทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับ “มรสุมน้ำตา” ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจและพื้นที่เกษตรกรรมที่ต้องจมบาดาลอยู่เป็นประจำ ขณะที่เรากำลังก้มหน้ายอมรับชะตากรรม ณ ดินแดนที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเกือบครึ่งประเทศอย่าง “เนเธอร์แลนด์” พวกเขากลับสามารถเปลี่ยนภัยคุกคามให้กลายเป็นความมั่นคงได้อย่างน่าทึ่งนี่คือบทเรียนสำคัญที่ไทยควรนำมาเป็นเข็มทิศในการรับมือกับมหาภัยพิบัติแห่งสายน้ำ“เนเธอร์แลนด์” ไม่ได้ต่อสู้กับน้ำเพียงแค่ป้องกัน หากแต่เป็นการ “อยู่ร่วมกับน้ำ” อย่างเข้าใจธรรมชาติ ปัญหาของพวกเขาหนักหน่วงกว่าไทยหลายเท่า เพราะเป็นประเทศที่ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำสายสำคัญหลายสายและมีพื้นที่ถึง 26% ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ในขณะที่อีก 29% เสี่ยงต่ออุทกภัยย้อนอดีตไปเมื่อหลังเหตุการณ์ “มหาอุทกภัยเหนือ” ในปี 1953 ที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 1,800 ราย รัฐบาลได้ปฏิวัติการจัดการน้ำครั้งใหญ่ ผ่าน 2 กลไกหลักที่กลายเป็นหัวใจสำคัญของ “โมเดลเนเธอร์แลนด์”...หนึ่งแผนแม่บทแห่งชาติ ไม่ใช่แค่โครงการสร้างเขื่อน แต่เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวบูรณาการทั้งประเทศโครงการก่อสร้างขนาดมหึมาที่มีทั้งเขื่อนกั้นพายุ, กำแพงกั้นน้ำ, การยกระดับคันดิน เพื่อปิดกั้นทางน้ำไม่ให้ไหลเข้าสู่แผ่นดิน ตัวอย่างที่โด่งดังคือ Maeslantkering เขื่อนกั้นพายุขนาดยักษ์ที่สามารถปิดกั้นปากแม่น้ำได้อัตโนมัติเมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างวิกฤติผนวกกับแผนระยะยาวจนถึงปี 2050 ที่มีการประเมินความเสี่ยงและจัดสรรงบประมาณคงที่ในแต่ละปีเพื่อปรับปรุงระบบป้องกันน้ำท่วมให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น สองการบริหารจัดการเชิงพื้นที่แบบ “Room for the River” นี่คือแนวคิดที่ก้าวหน้าที่สุด และเป็นสิ่งที่แตกต่างจากไทยอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ไทยมักพยายาม “บีบ” หรือ “ต้าน” น้ำ เนเธอร์แลนด์กลับเลือกที่จะ “เปิดพื้นที่ให้น้ำ”...Giving the river roomโครงการ “Room for the River” เป็นการปรับปรุงแม่น้ำ 30 แห่งทั่วประเทศ โดยไม่ได้สร้างกำแพงให้สูงขึ้น แต่ทำการขุดลอก...ขยายความกว้างของแม่น้ำ...สร้างทางน้ำไหลบ่าสำรอง...ย้ายคันดิน หรือแม้แต่สร้างร่องน้ำใหม่ เพื่อให้แม่น้ำสามารถรองรับปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูน้ำหลากได้โดยไม่เอ่อล้นเข้าท่วมชุมชน....เป็นการผสมผสานระหว่างมาตรการ “แข็ง” อย่างเขื่อนกับมาตรการ “อ่อน” อย่างการใช้พื้นที่ธรรมชาติในการซับน้ำชัดเจนว่า...การที่เนเธอร์แลนด์สามารถเปลี่ยนภัยคุกคามจากน้ำให้เป็นความมั่นคงได้นั้นไม่ได้มาจากแค่เทคโนโลยี แต่มาจาก “การเปลี่ยนวิธีคิด” นั่นก็คือปัญหาการใช้พื้นที่, ปัญหาโครงสร้างและวิศวกรรมถัดมา...ปัญหาการบริหารจัดการ การแตกตัวของอำนาจ ซึ่งเนเธอร์แลนด์มีการบริหารจัดการน้ำแบบศูนย์รวมโดยมีองค์กรเฉพาะทางอย่างคณะกรรมการจัดการน้ำ ที่มีอำนาจ งบประมาณ และชุดข้อมูลในการทำงานที่เป็นเอกภาพ แต่ในประเทศไทย...การจัดการน้ำมักถูกแบ่งแยกออกเป็นหลายหน่วยงานหลักเช่น กรมชลประทาน, กรุงเทพมหานคร, กรมเจ้าท่า, กระทรวง มหาดไทย ฯลฯ ทำให้เกิดความขัดแย้งด้านอำนาจ...ทำงานไม่สอดคล้องกัน ขาดการตัดสินใจที่รวดเร็ว...เป็นไปในทิศทางเดียวกันตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ? และมิติสุดท้าย...ปัญหาการวางแผน การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแทนวิสัยทัศน์ระยะยาว“เนเธอร์แลนด์” มี “Delta Programme” ซึ่งเป็นแผนแม่บทระยะยาวที่ครอบคลุมไปถึงปี 2050 โดยมีการจัดสรรงบประมาณคงที่เพื่อการปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่องตามหลักวิทยาศาสตร์และสภาวะโลกร้อนอย่างแท้จริง ขณะที่การวางแผนจัดการน้ำของไทยส่วนใหญ่มักเป็นการวางแผนแบบรายปีหรือระยะสั้นและ...บ่อยครั้งเป็นการแก้ปัญหาตามสถานการณ์เฉพาะหน้า ทำให้ขาดความต่อเนื่องและยั่งยืนในการรับมือกับความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า? สถานการณ์ล่า...คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) และองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) คาดการณ์ว่าหากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลทั่วโลกจะสูงขึ้นระหว่าง 1.7 ถึง 3.2 ฟุตภายในปี 2100ประเด็นสำคัญมีว่า...แม้ว่ารัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชนจะสามารถควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นถึง 2 องศาเซลเซียสได้ แต่ภายในปี 2050 จะมีเมืองอย่างน้อย 570 แห่งและประชากรประมาณ 800 ล้านคนยังคงจะต้องเผชิญกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและคลื่นพายุซัดฝั่งจนเกิดน้ำท่วมหลายประเทศปรับตัวเป็นเมืองฟองน้ำเตรียมรับภัยพิบัติจากน้ำท่วม แล้วประเทศไทยล่ะ...ว่าอย่างไร? อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อม เปิดประเด็นตั้งคำถาม พร้อมยกตัวอย่างจีนได้เปิดตัวโครงการของเมืองสู้น้ำท่วมที่เรียกว่า “เมืองฟองน้ำ”เพื่อป้องกันการถูกน้ำท่วมจากน้ำทะเลที่ขึ้นสูง...ฝนที่ตกหนักจากพายุที่จะพัดเข้ามาในประเทศ...กลยุทธ์ฟองน้ำคือกำหนดให้มีพื้นที่ในเมือง 80% ที่สามารถดูดซับหรือนำน้ำฝนกลับมาใช้ใหม่ให้ได้ถึง 70% มีเป้าหมายโดยการปรับเปลี่ยนและปรับปรุงเมืองต่างๆ ซึ่งรวมถึงพื้นที่สาธารณะต่างๆ...โรงเรียน...พื้นที่อยู่อาศัย“ตั้งแต่เอเชียไปจนถึงยุโรป แอฟริกาไปจนถึงอเมริกา ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความพยายามในการบรรเทาผลกระทบต้องขยายวงกว้างขึ้นและการปรับตัวเป็นสิ่งสำคัญ อย่างน้อยที่สุด รัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชนจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง”ถึงเวลาแล้วที่ “ประเทศไทย” จะต้องเริ่มลงมือ “ปฏิวัติการจัดการน้ำ” แบบจริงๆจังๆ.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม