เหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วม “ไม่เพียงกระทบประชาชนและเศรษฐกิจท้องถิ่น” แต่ยังสะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการภัยพิบัติของรัฐที่เป็นปัจจัยให้นักลงทุนใช้พิจารณาความเสี่ยงการลงทุนถ้าหากระบบบริหารจัดการภัยพิบัติ และกลไกการฟื้นฟูของไทยไม่สามารถดำเนินการไปได้ “นักลงทุน” อาจมองว่าการลงทุนในไทยมีความไม่แน่นอน “เสี่ยงต่อผลตอบแทน และต้นทุนการฟื้นฟูที่สูงขึ้น” ซึ่งอาจทำให้การตัดสินใจลงทุนถูกเลือกไปลงทุนในประเทศอื่นที่มีระบบบริหารจัดการภัยพิบัติที่ดีกว่าประเทศไทยการตอบสนองต่อสถานการณ์ภัยพิบัติอย่างทันท่วงที และมีประสิทธิภาพจะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นนักลงทุนและสร้างภาพลักษณ์ให้ประเทศพร้อมรับมือวิกฤติจึงเป็นปัจจัยที่จะดึงดูดการลงทุนกลับเข้าสู่ไทย วีระพงษ์ ประภา อดีตผู้แทนการค้าไทยชาว จ.สงขลา รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ) มองว่า สำหรับน้ำท่วมในหาดใหญ่ และในพื้นที่ภาคใต้ค่อนข้างส่งผลต่อ “ภาพลักษณ์ด้านการลงทุนของประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” ด้วยเมื่อบริษัทข้ามชาติจะพิจารณาเข้ามาตั้งโรงงาน หรือขยายการลงทุนมักต้องประเมิน SWOT Analysis เพื่อให้รู้จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และความเสี่ยงของประเทศที่เลือกลงทุนนั้นเหตุนี้ปัจจัยด้านภัยพิบัติอย่างน้ำท่วมเป็นสิ่งที่หลายประเทศเข้าใจว่าจะเกิดขึ้นบ่อยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพียงแต่สิ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญยิ่งกว่าคือ “ประสิทธิภาพการจัดการของภาครัฐ” ในการรับมือกับความเสี่ยงได้ดีเพียงใด ทั้งการดำเนินนโยบาย การช่วยเหลือ และการบริหารสถานการณ์เมื่อเกิดเหตุจริงประเด็นว่า “หากพื้นที่มีความเสี่ยงภัยพิบัติสูง” แล้วประสิทธิภาพการบริหารจัดการของภาครัฐต่ำ “นักลงทุน” ย่อมลังเลที่จะนำเงินมหาศาลมาลงทุน เพราะอาจกระทบต่อผลตอบแทน หรือกำไรจากการลงทุนลดลงในทางกลับกันแม้ไทยจะมีความเสี่ยงสูง “หากมีความพร้อมรับมือภัยพิบัติ” ด้วยระบบจัดการที่ดี และแผนรองรับชัดเจน “นักลงทุนยังพร้อมมาลงทุน” เพราะเชื่อมั่นว่าความเสียหายจะควบคุมและบริหารจัดการได้ แล้วไทยก็มีกลไก 3 ระดับ ทั้งคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย คณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ คณะกรรมการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ซึ่งมีหน่วยงานรองรับตั้งแต่กองบัญชาการส่วนกลางไปจนระดับจังหวัด อำเภอ และเทศบาล โครงสร้างการทำงานครอบคลุมทุกพื้นที่ไม่ต่างไปจากแผนนโยบายของหลายประเทศจนเกิดคำถามว่า น้ำท่วมหาดใหญ่ เหตุใดกลไกและแผนงานที่มีครบถ้วน ทั้งระดับนโยบาย และการปฏิบัติไม่อาจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดเหตุจริง ทำให้คนนับล้านเดือดร้อน และมีผู้เสียชีวิตนับร้อยคนกลายเป็นสัญญาณเตือนให้ “ทุกฝ่ายควรตื่นตัวไม่ใช่โยงโทษทาง การเมือง” แต่ควรทบทวนระบบราชการ ระบบเตือนภัย และการประสานงานของหน่วยงาน ทำไมไม่อาจทำงานร่วมกันจนผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่ควรทว่าในมุมการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศ “ปัจจัยด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนมาก” ดังนั้นหากกลุ่มธุรกิจมองเห็นว่าประเทศคู่แข่งของไทยอย่างเช่นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ หรือเวียดนาม สามารถแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการจัดการความเสี่ยงได้ดีกว่าแม้อยู่ในภูมิภาคเดียวกันก็ตาม “นักลงทุน” ก็ย่อมต้องเลือกลงทุนในประเทศที่มีระบบจัดการกับภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพดีกว่า ประสานงานกับภาครัฐได้ง่ายกว่า และมีแผนเยียวยา หรือสนับสนุนภาคธุรกิจที่ชัดเจนกว่า เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนจะช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มความมั่นใจในการลงทุนได้ด้วยดีเรื่องนี้อาจจะกลายเป็นความเสี่ยงต่อ “ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย” เพราะหลายประเทศในภูมิภาคนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมในด้านการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติไว้อย่างดีหมดแล้ว ดังนั้นหากไทยไม่สามารถยกระดับประสิทธิภาพในส่วนนี้ก็อาจเสียเปรียบในการดึงดูดการลงทุนในระยะยาวได้ ประการถัดมาคือ “เรื่องการจัดการภัยพิบัติและความยั่งยืน” จริงๆแล้วคู่ค้ารายใหญ่ของไทยไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย หรือนิวซีแลนด์ ต่างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะมองว่านโยบายสาธารณะสามารถทำให้เกิดการป้องกัน หรือบรรเทาภัยพิบัติได้ หากประเทศมีเป้าหมาย และแผนงานที่ชัดเจนแต่หากไทยไม่อาจทำให้แผนงานเกิดผลในทางปฏิบัติจริง “คู่ค้าย่อมตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของประเทศ” แม้ขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณนักลงทุนจะชะลอการลงทุนในไทยจากเหตุการณ์น้ำท่วมหลายพื้นที่ก็ตามแต่สิ่งที่ต้องตอบหลังจากนี้คือ “ระบบเยียวยาและฟื้นฟูจะดำเนินอย่างไร” ทั้งแนวทางการฟื้นฟูเมืองหาดใหญ่กลับมาแข็งแรงกว่าเดิม “หากการฟื้นฟูล่าช้าย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแน่ๆ” ดังนั้นรัฐบาลต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน และนักลงทุนต่างชาติต่อไป “สิ่งที่นักลงทุนต่างชาติต้องการเห็นไทยทำตามคำมั่น และบริหารจัดการวิกฤติได้ต่อเนื่อง หากฟื้นความเชื่อมั่นจากน้ำท่วมเร็วจะช่วยดึงการลงทุนต่างประเทศ และเสริมความมั่นใจให้ธุรกิจในประเทศ เพราะเมื่อระบบนิเวศทางธุรกิจหยุดชะงักนักลงทุนย่อมกังวลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และตลาดภายในประเทศ” วีระพงษ์ว่าเรื่องนี้อาจนำไปสู่ “การชะลอการตัดสินใจลงทุน” ที่เห็นได้จากการเจรจา FTA ชะลอตัวลง เพราะขาดความชัดเจนทางการเมือง จึงอยากยกกรณีน้ำท่วมใหญ่ในเยอรมนีปี 2563 รัฐบาลสามารถช่วยเหลือและฟื้นฟูประชาชนได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ติดขัดด้านราชการ ทำให้ต่างชาติยิ่งเชื่อมั่นในศักยภาพการจัดการวิกฤติของประเทศสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า “ระบบภาครัฐไทยต้องปรับตัวในสถานการณ์วิกฤติฉุกเฉิน” กฎระเบียบที่สร้างภาระแก่ประชาชนและธุรกิจควรถูกยกเลิก หรือปรับให้เกิดความคล่องตัวในการฟื้นฟูเยียวยาให้เกิดขึ้นได้รวดเร็วซึ่งเราอาจเคยได้ยินคำว่า Regulatory Guillotine วิกฤตินี้เป็นโอกาสพิจารณาว่ากฎระเบียบ หรือนโยบายควรปรับให้เอื้อต่อการเยียวยาและฟื้นฟู กระตุ้นเศรษฐกิจ เปิดโอกาสให้ธุรกิจต่างชาติเข้ามามีส่วนร่วม พร้อมแพ็กเกจจูงใจต่างๆ เพราะแม้ไทยเผชิญวิกฤติและความเสี่ยงหนักก็ยังมีความยืดหยุ่น Resilience ในการเดินหน้าต่อไป ตรงนี้แหละที่มองว่า “เป็นแต้มต่อ” เพราะทุกครั้งที่ไปเจรจากับ EU หรือคุยกับทูตต่างชาติมักบอกว่า “ไทยมีจุดแข็งและศักยภาพ” แต่ธุรกิจกลับไม่มาลงทุน เพราะกฎระเบียบซับซ้อนบทบาทภาครัฐไม่ได้เอื้อการลงทุนย้ำว่าตรงนี้เป็นโอกาสสำคัญ หากประเทศไทยสามารถสร้างความมั่นใจต่อ “การจัดการภัยพิบัติได้ดี” ก็จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุนต่างชาติตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทย.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม