เนื้อหาเพลงกล่อมเด็ก “โยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอ เจ้าม้าหางงอ กอดคอโยกเยก” ฟังสนุก แต่ผู้ใหญ่ท่านก็ซ่อน “เรื่องน้ำท่วม” ปูพื้นให้เราก่อนถึงวัยโตพอฟัง “นิทานผู้ใหญ่” เรื่องไฟประลัยกัลป์ล้างโลก“กาญจนาคพันธ์” เขียนไว้ใน “คอคิดขอเขียน” ชุดที่ 2 ก่อนเกิดไฟประลัยกัลป์นั้น ฝนตกใหญ่ทั่วแสนโกฏิจักรวาล มนุษย์เห็นฝนตกก็ดีใจ ชวนกันหว่าน พอข้าวกล้ากำลังขึ้น ฝนก็หยุดตกเสียเฉยๆแหงนดูฟ้า พระอาทิตย์ก็ขึ้นอีกดวงเป็นสองดวง ผลัดกันเดินทำให้สว่าง ไม่มีกลางคืน ต้นข้าวต้นไม้ใบหญ้าแห้งตาย พระอาทิตย์ก็ขึ้นเป็นดวงที่ 3 ตามมาเป็นดวงที่ 4 พอถึงดวงที่ 5 น้ำในหาสมุทรก็แห้งดวงที่ 6 จักรวาลเป็นควันตลบ พอถึงดวงที่ 7 ไฟก็ลุกพรึบไหม้ขึ้นไปถึงสวรรค์แล้วก็ดับ เหลืออากาศเปล่ามืดตื้อ ฝนเริ่มตกเป็นฝอย แล้วเม็ดฝนก็ค่อยๆใหญ่จนเท่าภูเขา น้ำท่วมเต็มแสนโกฏิจักรวาลคิวต่อไปเป็นของลม ลมพัดน้ำตะล่อมเข้าเป็นก้อนเหมือนหยาดน้ำในกอบัว น้ำถูกลมโชยงวดลงๆตอนบนแห้งเกิดเป็นสวรรค์ ต่อมาก็ยุบงวดลงจนเป็นวุ้น กลายเป็นแผ่นดินมีกลิ่นหอม เกิดกอบัวบัวนั้น ถ้าไม่มีดอกเรียกว่าสูญกับ หรือกับว่างเปล่า ถ้ามีดอกหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็มาเกิดองค์หนึ่ง สองดอกเรียก“มัณฑกัป” ก็สององค์ ไปจนถึงห้าดอก ก็ห้าองค์ เรียกภัทกัปตอนนี้ พวกพรหมบนสวรรค์ก็จะจุติลงมาเกิดที่พื้นดิน เห็นดินสีสวยกลิ่นหอมก็ลองกิน พอกินแล้ว “อร่อย” รัศมีพรหมที่เคยสว่างก็จางหาย โลกจึงมืด เคราะห์ดีมีพระอาทิตย์พระจันทร์ส่องสว่าง ง้วนดินงอกกลายเป็นเห็ด พรหมกลายเป็นมนุษย์ก็กินเห็ด เห็ดหายกลายเป็นเครือดิน เครือดินหายไป เกิดข้าวสาลี มนุษย์กินข้าวสาลีมีกามราคะ มีเพศหญิงเพศชาย ได้เป็นผัวเมียกันรวบรัดตัดตอนมาถึงยุคภัทกัป ดอกบัวห้าดอก สิ้นพระสมณโคดม พระพุทธเจ้าองค์ที่สี่ของเราก็มาถึงองค์ที่ห้า เรียกง่ายๆพระศรีอาริย์ ถือกันว่าเป็นยุควิเศษสุด มีกล่าวไว้ใน “สมุดพระมาลัย” ว่าแผ่นดินเหมือนคนปราบ ราบกว่าราบดังหญ้ากลองสี หญ้าอ่อนสี่องคุลี เขียวขจีอันบรรจง น้ำไหลขึ้นข้างหนึ่ง อีกฟากหนึ่งก็ไหลลง เต็มเปี่ยมเหลี่ยมสระสรง เพียงขอบฝั่งอยู่อาจิณใครจะไปทางไหนก็สะดวกสบายไม่ต้องทวนน้ำ ฝนมีกำหนดตก หน้าฝนห้าวันตก หน้าหนาวสิบห้าวันตก หน้าร้อนตกวันสิบห้าค่ำ และฝนที่ตกก็ตกเฉพาะกลางคืนให้นอนสบายมีไม้ “กามะพฤกษ์” ขึ้นอยู่ทั่วไป ใครต้องการอะไรก็ขอได้ทุกอย่างข้าวเกิดเอง เมล็ดหนึ่งงอกพันหน่อ เมื่อสุกก็สุกขาวบริสุทธิ์ กินได้เลยไม่ต้องหุง คนทุกคนสวยงามเหมือนกัน คนบนเรือน ลงจากเรือนไปแล้วเดินสวนกันก็จำหน้ากันไม่ได้ ต้องกลับขึ้นเรือนจึงจะรู้ใครเป็นใครทุกคนมั่งมีศรีสุข ไม่มีเหลื่อมล้ำต่ำสูง มีแต่เกษมสันต์หรรษา ร้องรำทำเพลงสนุกสนานร่าเริงความวิเศษต่างๆในยุคพระศรีอาริย์นี้ พระศรีอาริย์ท่านบอกเอง เมื่อที่พระเถระชื่อ “พระมาลัย” เหาะขึ้นไปไหว้พระจุฬามณีบนสวรรค์ พระศรีอาริย์เป็นเทวดาอยู่ชั้นดุสิต เหาะมาเจอกันก็สนทนากันเมื่อฟังว่าโลกมนุษย์ตอนนั้น ผู้คนทุกข์ยากลำบาก ท่านก็แนะนำให้พวกเราทำบุญรักษาศีล อย่าทุจริตคดโกง ให้ฟังเทศน์มหาชาติ คือพระเวสสันดรชาดกวันเดียวให้จบสิบสามกัณฑ์เมื่อใดคนทำบาปมาก ลามกมาก พระสงฆ์มีแต่ผ้าเหลืองน้อย ห้อยหู คนตัวเล็กลงต้องใช้ไม้สอยมะเขือ อายุคนสิบปีตาย โลกจะเกิดรบพุ่งฆ่าฟันกัน จะจับใบไม้ใบหญ้าก็จะกลายเป็นหอกดาบแหลนหลาว เรียกสถานการณ์นั้นว่า มิคสัญญี เมื่อนั้นนั่นแลถึงเวลา ท่านจะจุติลงโปรดโลกให้สุขสงบเย็นอ่านเรื่องนี้จบ...ผมหันมองทั้งโลก ทุกแหล่งแห่งที่นับวันจะรุ่มร้อน...ใกล้ระดับมิคสัญญีเข้าไปทุกที เตรียมตัวเตรียมใจกันได้แล้วล่ะกระมัง!กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม