นักข่าวไทยรัฐทีวีซึ่งลงไปทำข่าวในพื้นที่น้ำท่วมที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา สัมภาษณ์หญิงผู้ประสบภัยท่านหนึ่งหลังน้ำลด ได้ความว่าเคยประสบเหตุน้ำท่วมมาแล้ว แต่ถ้าพ่อหลวง ร.9 ยังอยู่ น้ำคงไม่ท่วมหาดใหญ่หนักหนาถึงขั้นนี้“ปี 31 ท่านเสด็จมากลางดึก ฉันก็ไปเฝ้ารับเสด็จด้วย ได้ยินพ่อหลวงสั่งให้สร้างถนนกั้นน้ำไม่ให้ท่วมถึงบ้านชาวบ้านให้เร็ว...”อย่างที่ทราบ ในหลวง ร.9 ทรงวิเคราะห์ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของหาดใหญ่แล้วว่า เป็นแอ่งกระทะที่ล้อมรอบด้วยภูเขาซึ่งเป็นต้นน้ำที่เก็บกักน้ำไว้ยามฝนตกจำนวนมหาศาล...ถ้าไม่ปลูกป่าชะลอการไหลของน้ำ ก็ต้องทำฝายชะลอความเร็วของน้ำที่จะไหลลงมาถึงบ้านเรือนประชาชนอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะรับมือกันได้ทันยังทรงวางแผนการเปิดช่องทางระบายน้ำออกสู่ทะเลสาบสงขลาไว้อีกหลายทาง ตั้งแต่ทรงมีพระราชดำริให้ขุดคลอง ร.1-4 (คลองราษฎร์) เป็นคลองชลประทาน และรับน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา-ปัตตานี-เทือกเขาบรรทัดยังโปรดให้สร้างคลองหลัก คลองเสริม และขุดลอกคลองอีกจำนวนมาก อย่างคลองอู่ตะเภา คลองหวะ และเปิดพื้นที่การเกษตรคลองหอยโข่ง-ควนลัง ไว้รับน้ำเพื่อลดแรงดันของน้ำ และระบายน้ำออกสู่ทะเลสาบสงขลาครั้งนั้น ทรงมีพระราชดำริให้ท้องถิ่นต้องช่วยดูแลไม่ให้มีสิ่งกีดขวางทางน้ำอันเป็นเหตุให้คลองตื้นเขิน มีผักตบชวา ถูกบุกรุกหรือถมคลอง รวมทั้งให้ดูแลประตูน้ำไม่ให้ชำรุดซึ่งจะทำให้น้ำไหลไม่เต็มประสิทธิภาพด้วยขณะที่ช่วงเวลานั้น ยังไม่มีใครพูดถึงสภาวะโลกร้อน ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดพายุเมฆคลั่ง Rain Strom ที่ทำให้น้ำฝนที่ตกลงมามีปริมาณมหาศาลกว่า 150 มิลลิเมตร/วัน หรือ 300-400 มิลลิเมตร/วัน เช่นที่เกิดขึ้นกับหาดใหญ่ และในหลายจังหวัดภาคใต้มาถึงวันนี้ พ่อหลวง ร.9 ไม่อยู่แล้ว ทรงเสด็จสวรรคตมาหลายปีแล้ว แต่แผนการแก้ปัญหาน้ำท่วมภายใต้แนวพระราชดำริยังคงอยู่แต่ส่วนราชการท้องถิ่นไม่ได้นำมาทำต่อ หรือดำเนินการอย่างเคร่งครัดในการดูแลประชาชนในพื้นที่ไม่ให้ต้องเจอกับทุพภิกขภัยอย่างที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากจะทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องเริ่มต้นชีวิตกันใหม่อีกครั้งแล้ว ยังทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 145 คน หรืออาจจะมากกว่านั้นย้อนหลังไปในอดีต หาดใหญ่ประสบปัญหาน้ำท่วมหนักๆในปี 31 จากกรณีมีฝนตกหนักและคลองต่างๆไหลช้า ทำให้เกิดน้ำท่วมสูง 3 เมตร ในหลวง ร.9 จึงทรงเสด็จกลางดึกเพื่อพระราชทานแนวทางการแก้ไขปัญหาทันทีจากนั้นในปี 43 มีพายุโซนร้อน แต่คลองระบายน้ำต่างๆเกิดตัน ทำให้น้ำท่วม 2-3 เมตร, ปี 53 ปริมาณฝนตกหนักถึงวันละ 300 มม./วัน แต่พื้นที่รับน้ำมีไม่พอ, มาถึงปี 59-65 เกิดฝนตกหนักอีกแต่คลองตามแนวพระราชดำริช่วยได้บางส่วน ทำให้น้ำท่วมหาดใหญ่ราว 1 เมตรจะว่าไปหาดใหญ่เป็นอำเภอที่มีเศรษฐกิจดีที่สุดเพราะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคใต้ที่มีรายได้หลักจากการค้าขาย บริการ การท่องเที่ยว และสถานที่ท่องเที่ยวมากมายแม้ระยะหลังๆ GDP อาจหดตัวลงบ้าง แต่ท้องถิ่นของหาดใหญ่น่าจะสะสมความมั่งคั่งไว้ได้มากพอจะจัดซื้อจัดหาเครื่องไม้เครื่องมือ และทรัพยากรในการดูแลให้การช่วยเหลือชาวหาดใหญ่ได้รวดเร็ว และดีกว่านี้ในวิกฤติน้ำท่วม และน้ำลดที่เกิดขึ้น ถ้าเพียงแต่เอาความสุขของชาวหาดใหญ่เป็นตัวตั้ง.มิสไฟน์คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม