ปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัวเป็นบาดแผลเรื้อรังของสังคมไทย ข้อมูลจากศูนย์พึ่งได้ (OSCC) กระทรวงสาธารณสุข ตลอดปี 2567 มีผู้ถูกกระทำความรุนแรงทางร่างกาย จิตใจ โดนคุกคามและล่วงละเมิดทางเพศ 17,913 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงถึง 15,899 ราย ขณะที่ตัวเลขจากศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน หรือสายด่วน พม. 1300 พบผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว 4,833 ราย โดยถูกทำร้ายร่างกาย 73.08% ถูกล่วงละเมิดทางเพศ 16.84% และอีก 10.07% โดนกระทำในรูปแบบอื่นๆในโอกาสที่เดือน พ.ย.เป็นเดือนแห่งการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ร่วมกับ มูลนิธิเพื่อนหญิง เครือข่ายสตรี 4 ภาค และ เครือข่ายพัฒนากลไกสหวิชาชีพพื้นที่นำร่อง 4 จังหวัด จัดเวทีเสวนา “How to..นักการเมืองหญิงร่วมผลักดัน ท้องถิ่นชุมชนจัดการความรุนแรงในครอบครัว 24 ชม.” โดยเชิญนักการเมืองหญิงจาก 4 พรรคการเมือง มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง ซึ่ง สสส.มุ่งผลักดันให้ประเด็นปัญหาการใช้ความรุนแรงเป็นประเด็นสาธารณะพร้อมกันนี้ทางมูลนิธิเพื่อนหญิงได้มี ข้อเสนอเชิงนโยบาย 7 ข้อ ไปสู่พรรคการเมืองต่างๆ สาระสำคัญคือประกาศให้ความรุนแรงในครอบครัว การปราบยาเสพติด การดูแลผู้ป่วยจิตเวช เป็นวาระแห่งชาติ บูรณาการกลไกทุกระดับตั้งแต่ส่วนกลางถึงท้องถิ่น เพิ่มงบประมาณให้เพียงพอกับการปฏิบัติการคุ้มครองบุคคลในครอบครัว และผลักดันให้สภาฯเร่งพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว ฉบับภาคประชาชนสำหรับทัศนะของ 4 นักการเมืองหญิงในวันนั้น เริ่มจาก คุณศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส. กทม. พรรคประชาชน กล่าวว่า ให้ความสำคัญเรื่องนี้ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็น สส. พอได้มาเป็น สส.ก็ผลักดันเต็มที่ เมื่อก่อนคนไม่อยากยุ่งเรื่องควานรุนแรงในครอบครัว เพราะภาษาวัยรุ่นบอกเดี๋ยวจะได้กินอาหารหมา แต่ตอนนี้ความรุนแรงไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง พรรคการเมืองต้องไม่เพิกเฉย ไม่เช่นนั้นสังคมจะเพิกเฉยด้วย จึงควรมีสัญญาใจร่วมกันว่าจะผลักดันนโยบายป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงอยากเห็นการดีเบตของแคนดิเดตนายกฯว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรขณะที่ คุณรัชดา ธนาดิเรก ผู้ช่วย รมต. สังกัดพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ปัญหานี้ตั้งแต่สมัยคุณอนุทิน ชาญวีรกูล เป็น รมว.มหาดไทย ได้นำร่องอบรมเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นให้เข้าใจบทบาทในการแก้ปัญหาความรุนแรง ไม่ใช่แค่รับรู้ปัญหาแล้วมองเป็นเรื่องในครอบครัว แต่ต้องเปลี่ยนจาก “ผู้เห็น” เป็น “ผู้ห่วง” อยากเห็นทุกพรรคมีนโยบายนี้ตรงกัน รวมถึงปรับทัศนคติสังคมว่าความรุนแรงไม่ใช่แค่เรื่องของชาวบ้านทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคกำลังรวบรวมนักการเมืองรุ่นใหม่ทั้งหญิงและชายมาทำนโยบายเรื่องนี้ และจะนำข้อเสนอในเวทีนี้ไปพิจารณาด้วย มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ ความจนเป็นสาเหตุหนึ่งของความรุนแรง จึงต้องส่งเสริมการทำงานของสตรีและคนในครอบครัว ลดภาระค่ารักษาพยาบาล และร่วมดูแลทางด้านสุขภาพจิตต่างๆด้วยด้าน คุณรัดเกล้า สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การแก้ปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กไม่ควรมองเป็นแค่เรื่องทางสังคมเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เพราะคนเป็นทรัพยากรสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจของประเทศ ถ้ามีนโยบายกลางให้ทุกพรรคเอาไปใช้ได้ ตนเห็นว่ามี 3 ข้อคือ 1.ตั้งงบฯดูแลปัญหาทางเพศ 2.ใช้ข้อมูลบิ๊กดาต้า เพื่อออกแบบการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด 3.ให้โควตาคนที่มีความรู้ความสามารถจริงๆ และเปิดโอกาสให้ผู้หญิงที่มีศักยภาพเข้าสู่ระบบการเมืองแม้ยังไม่อาจสรุปได้ว่าพรรคการเมืองใดจะนำข้อเสนอแนะทั้งหลายไปสู่การปฏิบัติจริง แต่การที่นักการเมืองหญิงจากหลายพรรคพูดภาษาเดียวกันในประเด็นนี้ ก็ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือข้ามพรรคในอนาคต.ลมกรดคลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม