ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลตาม “แนวชายแดนไทย-กัมพูชา” ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อชีวิต และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดน แม้ประเทศไทยดำเนินการเก็บกู้และทำลายมาอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังคงมีบางพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนหลงเหลืออยู่ ส่งผลให้เกิดเหตุประชาชน หรือเกษตรกรเหยียบทุ่นระเบิดโดยไม่ตั้งใจจนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เหตุการณ์ลักษณะนี้ยังคงปรากฏเป็นข่าวอยู่เป็นระยะ สะท้อนถึงความจำเป็นในการเร่งเก็บกู้ทุ่นระเบิด เพื่อคืนความปลอดภัยและความมั่นคงให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนแต่สถานการณ์นี้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น “ภายหลังเหตุการณ์ความขัดแย้งสู้รบกันระหว่างไทยกับกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา” ซึ่งมีรายงานว่าฝ่ายกัมพูชาได้มีการวางทุ่นระเบิดเพิ่มเติมตามแนวชายแดน เพื่อใช้เป็นแนวป้องกันทางยุทธศาสตร์ ส่งผลให้พื้นที่บางส่วนมีความหนาแน่นของทุ่นระเบิดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญการปนเปื้อนดังกล่าวจึงยังเป็นภัยร้ายคุกคามต่อความปลอดภัยของประชาชน “ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (ศทช.)” จึงเป็นหน่วยที่มีบทบาทประสานงาน และเก็บกู้ทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลหลักมานานกว่า 25 ปี ในเรื่องนี้ตามที่ได้พูดคุยกับ “เจ้าหน้าที่ ศทช.” เล่าให้ฟังถึงภารกิจที่ก่อตั้งขึ้นตามอนุสัญญาออตตาวาว่าประเทศไทยเข้าร่วมลงนามอนุสัญญาออตตาวาเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.2540 “กองบัญชาการกองทัพไทย” จึงจัดตั้ง ศทช.เป็นศูนย์กลางปฏิบัติการเกี่ยวกับทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมตามพันธกรณีในการทำลายทุ่นระเบิดที่เก็บสะสม เก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ฝังอยู่ให้หมด ให้ความรู้เรื่องช่วยเหลือผู้ประสบภัยและดำเนินการตามอนุสัญญาออตตาวา โดยมีหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมดำเนินการเก็บกู้ 5 หน่วยใน 27 จังหวัดทั่วประเทศ มีพื้นที่รวม 2,556.7 ตร.กม. แต่พื้นที่ที่มีสนามทุ่นระเบิดหนาแน่นคือ “ชายแดนไทย–กัมพูชา” ตั้งแต่ จ.ตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และทุ่นระเบิดที่พบมาจากสงครามความขัดแย้งในอดีตโดย ศทช.ปฏิบัติงานผ่านมาแล้ว 25 ปี ทำให้ในปี 2568 คงเหลือพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิด 12.8 ตร.กม. ใน 6 จังหวัด 15 อำเภอ เพราะขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ 1 นายปฏิบัติงานตรวจเก็บกู้ได้เฉลี่ยวันละ 30-50 ตารางเมตร ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ การปนเปื้อนทุ่นระเบิด และสภาพอากาศ ทำให้เป็นงานต้องใช้เวลาและต้องระมัดระวังสูงส่วนทุ่นระเบิดที่เก็บกู้ได้ทั้งหมดในปีงบประมาณ 2568 จำนวน 8,176 รายการ แบ่งเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล 8,035 รายการ ทุ่นระเบิดดักรถถัง 20 รายการ และสรรพาวุธระเบิด 121 รายการ โดยบางส่วนเสื่อมสภาพตามกาลเวลาแต่มีบางส่วนยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์มีโอกาสเป็นอันตรายต่อประชาชนในพื้นที่ได้สำหรับอุปสรรคเก็บกู้ทุ่นระเบิดตกค้างส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่าทึบเข้าถึงเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ได้ยาก โดยเฉพาะพื้นที่พิพาทปักปันเขตแดนยังไม่ชัดเจน “การเคลียร์ทุ่นระเบิดทำได้ยาก” เพราะเมื่อหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดฯ เข้าเก็บกู้และทำลายทุ่นระเบิดตกค้างในพื้นที่พิพาทบางจุดฝ่ายกัมพูชามักเข้ามาขัดขวางการปฏิบัติงานเสมอโดยให้เหตุผลว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจขัดต่อข้อตกลงบันทึกความเข้าใจ (MOU43) กำหนดห้ามมิให้มีการปรับเปลี่ยนสภาพพื้นที่รื้อถอน ปลูกสร้าง ในเขตที่ยังไม่ได้มีการปักปันเขตแดนอย่างเป็นทางการชัดเจนเหตุนี้หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดฯ “ต้องระงับการปฏิบัติในพื้นที่ที่มีข้อพิพาทนั้น” แล้วย้ายไปดำเนินการในแปลงอื่นที่ไม่มีปัญหาด้านอธิปไตย เพื่อให้การเก็บกู้ทุ่นระเบิดดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และปลอดภัย แม้ว่าฝ่ายไทยจะยื่นประท้วงต่อทางการกัมพูชาหลายครั้งเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิดฯ และเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการแก้ไขหรือผ่อนปรนการปฏิบัติในพื้นที่พิพาทดังกล่าว แต่ฝ่ายกัมพูชามิได้ดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ทำให้การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในบางพื้นที่ล่าช้าผลจากข้อจำกัดดังกล่าว “พื้นที่คงเหลือที่ไม่อาจเข้าไปดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดได้” ส่วนใหญ่อยู่ในเขตพื้นที่พิพาทเขตแดนจำเป็นต้องรอการเจรจา และข้อตกลงร่วมระหว่าง 2 ประเทศก่อนจึงจะเข้าไปเก็บกู้ได้ส่วนการสำรวจพื้นที่ “ปนเปื้อนทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา” ส่วนใหญ่มักเป็นพื้นที่เคยสู้รบในอดีต และยังคงมีทุ่นระเบิดตกค้างอันส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนนอกจากนี้เกษตรกรและประชาชนในพื้นที่มักพบวัตถุระเบิดหรืออาวุธสงครามโดยบังเอิญระหว่างทำการเกษตร หาของป่า หรือประกอบอาชีพในพื้นที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ และความสูญเสียต่อชีวิตประชาชนบ่อยครั้งเช่นนี้หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดฯ จึงจะเร่งเข้าสำรวจ เก็บกู้ และทำลายทุ่นระเบิดในพื้นที่เสี่ยง เพื่อคืนความปลอดภัยให้แก่ประชาชน ลดการสูญเสีย และฟื้นฟูการใช้ประโยชน์ที่ดิน สร้างความมั่นคงในชีวิตอย่างยั่งยืนจริงๆแล้ว “การเก็บกู้ทุ่นระเบิดของไทย” ภายใต้อนุสัญญาออตตาวาในพื้นที่ที่เคยเป็นแนววางทุ่นระเบิดเก่าจากสถานการณ์ความขัดแย้งในอดีต ซึ่งแผนการขยายกรอบระยะเวลาเดิมนั้นจะสิ้นสุดภายในปี 2569นับแต่หลังจาก “เกิดเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา” ทำให้คาดว่าจะมีพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิด และสรรพาวุธระเบิดที่ยังไม่ระเบิดในหลายพื้นที่ที่ไม่ใช่แนวทุ่นระเบิดที่เคยสำรวจในอดีต จึงจำเป็นต้องสำรวจให้เป็นทางการตามขั้นตอนอย่างละเอียดอีกครั้ง เช่นนี้คาดว่าจะต้องขยายระยะเวลาการเก็บกู้ออกไปอีก 3-5 ปีเพราะที่ผ่านมาการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในไทยขยายเวลามาแล้วหลายครั้ง เนื่องจากปัจจัยด้านสภาพภูมิประเทศ การเข้าถึงพื้นที่ต้องเดินเท้าใช้เวลาหลายชั่วโมง บางพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดหนาแน่นมีทุ่นระเบิดหลากหลายชนิด หรือสภาพภูมิอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น ฝนตก โดยเฉพาะการถูกขัดขวางจากทหารฝ่ายตรงข้ามในพื้นที่ อุปสรรคเหล่านี้ล้วนส่งผลให้การเก็บกู้ทุ่นระเบิดต้องใช้เวลานานกว่าที่กำหนด และต้องมีการจัดสรรทรัพยากร บุคลากร และเทคโนโลยีสนับสนุนเพิ่มเติม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาออตตาวาอย่างไรก็ดี พล.อ.รังพิรัชต์ แย้มเกษร ผอ.ศทช. ก็ได้เน้นย้ำถึงเจตนารมณ์ในการปฏิบัติงานของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดฯ “เป็นการปฏิบัติภารกิจด้านมนุษยธรรม” ในการกำจัดผลกระทบจากการปนเปื้อนทุ่นระเบิดต่อประชาชน และมุ่งหวังให้เกิดความปลอดภัยและสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้อย่างยั่งยืนฉะนั้นตามเจตนารมณ์ปกป้องความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนนี้ก็หวังว่าพื้นที่ที่ปลอดภัยจากการปฏิบัติงานของ ศทช.จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการพัฒนาประเทศ เศรษฐกิจ และสังคม ดังคำกล่าวที่ว่าหนึ่งทุ่นระเบิดที่เก็บกู้ได้สามารถช่วยหนึ่งครอบครัวของผู้บริสุทธิ์ให้ปลอดภัย...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม