หลังจากสู้รบกันอย่างดุเดือดเป็นเวลา 3 ปีเต็มๆ "สงครามเกาหลี" ระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ซึ่งมีกำลังสนับสนุนจากภายนอกอย่างเข้มแข็ง ทั้ง 2 ฝ่ายก็ยุติลง (เริ่ม 25 มิถุนายน 2493 ตกลงหยุดยิง 27 กรกฎาคม 2496)แต่ทั้ง 2 ฝ่ายก็ยังคุมเชิงเตรียมพร้อมเผื่อว่าจะมีการรบครั้งใหม่ติดต่อกันมาอีกหลายปี--ส่งผลให้กรมผสม 21 หรือ กองพันพยัคฆ์น้อย ของไทยยังคงปักหลักอยู่ที่เกาหลีใต้อยู่จนถึง พ.ศ.2513แม้จะค่อยๆลดจำนวนทหารลงเรื่อยๆ แต่ก็ยังจัดเป็นกองกำลังเกียรติยศไว้ส่วนหนึ่ง--เพิ่งมาถอนกำลังครบถ้วนเมื่อ พ.ศ.2515 อีกหลายปีต่อมารวมแล้วนับแต่เริ่มสงครามเมื่อ 2493 จนถึงวันถอนทหารชุดสุดท้ายเมื่อ พ.ศ.2515 มีรายงานว่าประเทศไทยส่งทหารไปช่วยเกาหลีใต้รบ เฉพาะทหารบก 23 ผลัด รวมกำลังพล 11,776 นาย และเสียชีวิต 136 นาย ซึ่งรัฐบาลเกาหลีใต้ก็ได้สร้างอนุสาวรีย์และศาลาไทยขึ้นที่เมืองโพซอน เพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารไทยและประเทศไทยที่ไปช่วยพวกเขารบในสงคราม “ศึกสายเลือด” ดังกล่าวสำหรับกองพัน “พยัคฆ์น้อย” หรือกรมผสม 21 เมื่อกลับคืนสู่ประเทศไทยแล้วก็ได้รับการสถาปนาเป็น กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ และต่อมาก็ได้รับพระราชทานชื่ออย่างเป็นทางการว่า กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ในสมเด็จพระบรม ราชชนนีพันปีหลวง ณ ค่าย นวมินทราชินี อำเภอเมืองชลบุรี หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ค่าย “ทหารเสือราชินี” ขึ้นตรงต่อกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ กองทัพภาคที่ 1 นั่นเองหลังสงครามเกาหลีใต้ยากจนมาก แต่ก็ได้รับการดูแลจากสหรัฐฯผ่าน เวิลด์แบงก์ หรือ ธนาคารโลก อย่างใกล้ชิด ควบคู่มากับประเทศไทย--โดยทั้ง 2 ประเทศถือเป็นลูกหนี้เงินกู้ธนาคารโลกรายแรกๆพร้อมกับถูกแนะนำ (บังคับกลายๆ) ให้จัดทำ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ขึ้นพร้อมๆกัน (เพื่อจะได้กู้เงินง่ายขึ้น) ประมาณปี 2504 เป็นต้นมาแรกๆไทยทำท่าจะไปเร็วกว่า แต่ก็เหมือนกระต่ายพอวิ่งได้ไกลได้เร็วก็หยุดเสียอย่างนั้น...ตรงข้ามกับเกาหลีใต้ที่ออกคลานมาแบบเต่า แต่คลานเรื่อยๆโดยไม่หยุด ในที่สุดก็ค่อยๆแซงไทยแลนด์ศิษย์เวิลด์แบงก์รุ่นแรกด้วยกันไปค่อนข้างไกลลิบถ้าจะถือว่าการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬา “โอลิมปิก” คือเครื่องวัดการเป็น “ประเทศพัฒนาแล้ว” เต็มตัว--ก็กล่าวได้อย่างง่ายๆว่า เกาหลีใต้ ก้าวจากประเทศยากจนมาสู่รายได้ปานกลางและในที่สุดก็เป็นประเทศรายได้สูง หรือพัฒนาแล้วเมื่อ ค.ศ.1988 หรือ พ.ศ.2531 เมื่อเขาเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนนั่นเองในขณะที่ปีนั้นประเทศไทยเราเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีจากพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ช่วงเดือนสิงหาคม มาเป็น “น้าชาติ” พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ระดับการพัฒนาแม้จะแพ้เกาหลีแต่ก็ถือว่าไม่เลวนัก...เพราะย่างเข้าสู่ยุคโชติช่วงชัชวาล กำลังจะเป็น “เสือตัวใหม่” แห่งเอเชียตามหลังเกาหลีใต้ว่างั้นเถอะจากวันนั้นมาถึงวันนี้ ประมาณ 37 ปีให้หลัง ผมขี้เกียจค้นตัวเลขมาให้ดูว่าเกาหลีใต้หนีเราไปไกลแค่ไหน...เอาเป็นว่าจากประเทศที่เคยจนเท่ากัน และเราเคยไปช่วยเขารบเมื่อ 75 ปีที่แล้ว--เขารวยกว่าเราเยอะแล้วเดี๋ยวนี้ จนถึงขนาดที่ว่านายกฯอนุทินต้องขอร้องประธานาธิบดีของเขาข้อหนึ่งว่า ช่วยรับคนงานไทยไปทำงานที่บ้านเขาอย่างถูกกฎหมายเพิ่มขึ้นด้วยในการเจรจาทวิภาคีที่ผ่านมาแต่ก็เอาเถอะ แม้เขาจะรวยขึ้นเยอะแต่ก็ต้องชื่นชมที่เขายังไม่ลืมว่าเราเคยไปช่วยเขารบ และโทรศัพท์มาเอ่ยถ้อยคำขอบคุณนายกฯอนุทินของเราก่อนไปประชุมเอเปก ทำให้ผมมองย้อนหลังไปว่าต้นตำรับของคนเกาหลีใต้ที่ “คิดถึง” และ “ขอบคุณ” ประเทศไทยเราในประเด็นนี้เป็นคนแรกก็คือ “เจ้าหนุ่มกตัญญู” ปาร์ค ยอง แบ นั่นเองจำได้ไหมครับเรื่องราวของปาร์ค ยองแบ หนุ่มกตัญญูเกาหลีที่มาตามหา “ทหารไทย” ผู้มีพระคุณต่อเขา ซึ่งเคยเป็นข่าวใหญ่พาดหัวยักษ์ 3 ชั้น หน้า 1 ไทยรัฐ เมื่อ พ.ศ.2522 หรือ 46 ปีที่แล้ว (อ่านต่อวันจันทร์)"ซูม"คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม