“นวัตกรรมสุดยอด...ที่เลื้อยดุ?” เสียงเตือนจาก ผลชันสูตร 100 ศพ และกลไกการทำลายอวัยวะ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุขและที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดประเด็นตอกย้ำเสียงดังฟังชัดมาเนิ่นนานแล้ว ในประเด็นต้องทบทวน “วัคซีน mRNA” อย่างรอบด้านในขณะที่โลกหมุนไปข้างหน้าอย่างเต็มแรงด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ “วัคซีนโควิดแบบ mRNA” ถูกขนานนามว่าเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลก แต่ในอีกฟากหนึ่งของวงการแพทย์ กลับเริ่มมีเสียงเรียกร้องให้ “ชะลอและทบทวน” หลังผลการชันสูตรศพและผู้รอดชีวิตจำนวนหนึ่งเผยให้เห็นภาพที่น่าตั้งคำถาม...ที่มาที่ไปได้มาจากการเปิดเผยข้อมูลการติดตามและวิเคราะห์ผลการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์เยอรมนีที่ทำการชันสูตรกว่า 100 ศพ รวมถึงผู้ป่วยที่ยังมีชีวิต หลังได้รับวัคซีนโควิดชนิด modified mRNAเขาเรียกสิ่งนี้ว่า “นวัตกรรมสุดยอดที่เลื้อยดุ” ไม่ใช่เพราะความล้ำของเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เพราะ “กลไกการแทรกซึมและปฏิกิริยาภายในร่างกายมนุษย์” ที่อาจไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ บอกว่า ตามรายงานของทีมพยาธิวิทยาเยอรมนี วัคซีนชนิด modified mRNA ถูกออกแบบให้ซึมผ่านเซลล์และกระตุ้นให้เซลล์ของร่างกายสร้าง “โปรตีนหนาม (spike protein)” เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ปรากฏว่าโปรตีนหนามดังกล่าวอาจ “แสดงตัว” บนผิวเซลล์เองจนร่างกายมองว่าเป็นศัตรู และเริ่มกระบวนการ “ทำลายตัวเอง” โดยไม่รู้ตัวในบางกรณีการชันสูตรพบว่า มีการอักเสบของหลอดเลือดใหญ่ เอออร์ตา (Aorta) และหลอดเลือดที่ส่งเลือดไปยังสมองและหัวใจ มีลักษณะผิวถูกทำลาย ชั้นกล้ามเนื้อของหลอดเลือดยุ่ยและแยกฉีกเป็นแนวยาว ซึ่งสอดคล้องกับกรณีผู้เสียชีวิตฉับพลันโดยไม่มีโรคประจำตัวนวัตกรรมสุดยอดของวัคซีนเลื้อยดุ ซึ่งเป็นผลจากวัคซีนโควิด modified mRNA ที่มีการปรับแต่ง ถือเป็นนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์สุดยอด ที่เรียกว่าสุดยอดนั้นคือสามารถที่จะแทรกซึมเข้าได้ทุกเซลล์เนื้อเยื่อและอวัยวะของร่างกายหลังจากที่ผ่านเข้าสู่กระแสเลือดจากตำแหน่งที่ฉีดที่แขนด้วยคุณสมบัติอนุภาคนาโนไขมัน ส่วนคำว่า “เลื้อย” นั้น เกิดขึ้นจากความสามารถที่วัคซีนบังคับให้เซลล์ผลิตโปรตีนหนามให้แสดงตัวออกมาที่ผิวของเซลล์และถูกร่างกายมองเป็นศัตรูและพยายามทำลาย นั่นก็คือ...การทำร้ายตนเองนอกจากนี้แล้ว...โปรตีนหนามที่อยู่ที่ผิวจะค่อยๆแทรกตัวเลื้อยลงไปในเนื้อเยื่อข้างใต้ ซึ่งแสดงให้เห็นในกรณีของเส้นเลือดใหญ่เอออร์ตาที่ออกจากหัวใจและเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่ส่งเลือดไปยังสมองทั่วร่างกายและแขนขาโดยผ่านทางแขนงที่แตกย่อยออกมาการที่พิสูจน์ว่าวัคซีนเป็นสาเหตุเกิดจากการชันสูตรศพโดยแสดงให้เห็นถึงหลักฐานที่ว่ามานี้เป็นส่วนที่หนึ่งและตัดสาเหตุอื่นออก โดยเฉพาะการติดเชื้อโควิดเองซึ่งพิสูจน์ได้ง่ายอยู่แล้วและ...พบว่าวัคซีนเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้ตั้งแต่ในระยะเวลาสั้นๆภายใน 42 วัน จนกระทั่งยืดยาวไปถึงหลายเดือน เช่น นานกว่าหกเดือนและเป็นไปได้ว่านานกว่านั้น เนื่องจากหลักฐานการชันสูตรศพอย่างละเอียดไม่ได้ ศพที่ตายหลังจากนั้นจนกระทั่งเป็นปีและนำมาพิสูจน์“แท่งประหลาด” ในหลอดเลือด...หนึ่งในสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญเรียกว่า “ผิดธรรมชาติ” คือการค้นพบ “แท่งโปรตีนอมิลอยด์” ลักษณะเหนียว ยืดหยุ่น ไม่ขาดง่าย ถูกดึงออกมาจากหลอดเลือดของผู้เสียชีวิต และแม้แต่ผู้ป่วยที่ยังมีชีวิตอยู่ก็พบสิ่งเหล่านี้ในหลอดเลือดเช่นกันการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์และการวิเคราะห์ทางชีวเคมีพบว่า แท่งเหล่านี้ประกอบด้วยโปรตีนกว่า 137 ชนิด ส่วนใหญ่เป็นส่วนประกอบของผนังหลอดเลือดเอง เช่น Collagen, Laminin, Elastic fiber และโปรตีนโครงสร้างของเนื้อเยื่อ ซึ่งปกติไม่ควรเกิดขึ้นในหลอดเลือด“นี่คือกลไกที่ไม่อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โปรตีนพิษที่สร้างจากคำสั่งของวัคซีนก่อให้เกิดการอักเสบและกระตุ้นให้ร่างกายสร้างโปรตีนบิดเกลียวผิดรูปแบบอมิลอยด์ จนหลุดเข้าไปในหลอดเลือดและกลายเป็นแท่งเหนียว...เหมือนแท่งหล่อในร่างกายคน” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ว่าตอกย้ำ...หลักฐานจากคนเป็น ข้อมูลจากห้องปฏิบัติการหลอดเลือดในสหรัฐฯ (Cath Lab) ปี 2024 รายงานว่า พบผู้ป่วยที่มีการอุดตันของหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำลักษณะเดียวกับที่พยาธิแพทย์เยอรมนีพบ...พบแท่งโปรตีนสีขาวเคลือบด้วยเลือดคล้าย “เจลลี่” ถูกลากออกจากหลอดเลือดหัวใจ ปอด และขา“กรณีเหล่านี้พบมากขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 2021 และยังพบต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน...ในบางรายได้รับวัคซีนเพียงเข็มเดียว”คำถามสำคัญที่ยังรอคำตอบมีว่า...ผลชันสูตรและข้อมูลจากหลายประเทศจุดประกายคำถามสำคัญต่อระบบสาธารณสุขโลก วัคซีนที่ถูกออกแบบเพื่อ “ปกป้องชีวิต” จะต้องมีการประเมินผลกระทบระยะยาวอย่างไร? จะมีการตรวจสอบ “กลไกเลื้อยดุ”ที่ก่อการอักเสบหลอดเลือดและโปรตีนอมิลอยด์หรือไม่?และเราควรจัดการอย่างไรกับผู้ที่อาจได้รับผลกระทบแล้ว...แต่ยังรอคำอธิบาย?ข้อมูลการค้นพบทางวิชาการทั้งหมดเหล่านี้ เป็นประเด็นสำคัญที่...“ไม่ใช่เพื่อสร้างความกลัว...แต่เพื่อความเข้าใจ”ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ย้ำว่า สิ่งที่ต้องการไม่ใช่การสร้างความหวาดกลัวต่อวัคซีน แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิดการศึกษาวิจัยอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่ปิดกั้นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์“การยอมรับว่ามีสิ่งผิดปกติ...คือก้าวแรกของการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำ”บทเรียนวัคซีนเลื้อยดุไม่ใช่เพียงเรื่องการแพทย์ แต่คือคำถามถึงอนาคตของนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ว่า เราจะเดินหน้าด้วย “ความรู้” หรือ “ความเชื่อ” ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์?คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม