กระทรวงสาธารณสุขยังไม่ชง ครม.ของบกลาง 8 พันล้านบาท กมธ.วุฒิบี้ สปสช.เร่งจ่ายหนี้ค้างจ่าย งบฯ รพ.รัฐพบปมทุจริต 2 โครงการปี 63 หลายร้อยล้าน “สว.หมอวี” แฉ ความจริงสวนทางคำชี้แจง บี้ต้องปฏิรูป ด้านคลินิกเอกชนจี้ “อนุทิน-พัฒนา” ใช้งบฯกลางเยียวยาก่อนเอกชนแห่ลาออกเพิ่ม เสนอตั้งคณะทำงานร่วมหาทางออก แนะใช้ “โมเดลนพรัตน์” แยกงบฯรักษากับงบฯส่งต่อออกจากกันความคืบหน้าเรื่องงบประมาณของ สปสช.ที่ค้างจ่ายจนเกิดปัญหาต่อ รพ.ทั่วประเทศและส่งผลกระทบถึงผู้ป่วยสิทธิบัตรทองนั้น ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อบ่ายวันที่ 21 ต.ค. นายภราดร ปริศนานันทกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สาธารณสุข เตรียมเสนอของบกลาง 8,000 ล้านบาท ที่จะจ่ายให้กับหน่วยบริการผ่านสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ว่า ยังไม่มีการยื่นเรื่องของบกลางเข้ามาเมื่อถามว่าที่ประชุม ครม. พูดคุยปัญหางบบัตรทองไม่เพียงพอ ทำให้ รพ.มีปัญหาขาดทุนจำนวนมากหรือไม่ นายภราดรกล่าวว่า ต้องไปดูในรายละเอียดที่ สปสช.ขอมา คิดว่ากระทรวงสาธารณสุขควรต้องส่งเรื่องเข้ามา เชื่อว่าถ้านายกฯรับทราบจะดึงเรื่องเข้ามาพิจารณา เมื่อถามว่าจะกระทบกับนโยบายฟอกไตฟรีที่นายกฯประกาศไว้หรือไม่ นายภราดรกล่าวว่า งบกลาง 8,000 ล้านบาท สำหรับเติมงบประมาณปีที่แล้วที่ขาดอยู่ ไม่กระทบนโยบายฟอกไตฟรีอีกด้านที่รัฐสภา นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล สว. ประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา แถลงว่าอยากให้ สปสช.แสดงความรับผิดชอบปัญหาการค้างจ่ายงบประมาณต่อ รพ.ทั่วประเทศ หลังเกิดวิกฤติขาดสภาพคล่อง เพราะกระทบต่อสิทธิประชาชน กมธ.เป็นห่วงมากต่อสถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากความล่าช้าและความไม่ชัดเจนในการเบิกจ่ายงบประมาณของ สปสช. ส่งผลกระทบต่อการจัดบริการ จัดซื้อยาเวชภัณฑ์ ประเด็นสำคัญที่ได้รับร้องเรียนคือ ระบบบริหารงบประมาณของ สปสช.ที่ยังใช้แนวทางงบประมาณแบบปลายปิด ทำให้หน่วยบริการไม่สามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายล่วงหน้าโดยไม่ทราบจำนวนเงินที่จะได้รับจริง ส่งผลให้หลาย รพ.ประสบภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงินและเกิดผลขาดทุนสะสมต่อเนื่อง“ทั้งนี้ยังปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า ในปีงบประมาณ 2563 สปสช.ดำเนินการโครงการคลินิกชุมชนอบอุ่น และโครงการ 7 นวัตกรรม มีการเบิกจ่ายงบประมาณจำนวนมาก แต่พบมีการทุจริตจากช่องว่างของระบบ เช่น การคีย์ข้อมูลบริการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงเพื่อเบิกเงิน หรือการแจ้งผู้ป่วยปลอมเพื่อเรียกรับงบประมาณ ทำให้ สปสช.ต้องเรียกเงินคืนจากคลินิกชุมชนอบอุ่นหลายร้อยล้านบาท โดยไม่มีความชัดเจนว่าได้ดำเนินคดีหรือตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างโปร่งใสซึ่งเสี่ยงต่อการทุจริตและใช้เงินไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์” ประธาน กมธ.สธ.วุฒิสภา กล่าวด้าน นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สว. กล่าวเสริมว่า ยืนยันว่ากรณีนี้ไม่ได้ต่อสู้กันเพียงแค่ให้ข้อมูลที่ได้มาและตัวเลขที่นำเสนอไปคือ ตัวเลขที่ รพ.ขึ้นทะเบียนรอรับเงินจาก สปสช. มาจากการให้บริการผู้ป่วยจริงจาก รพ.ข้อมูลของ สปสช.ที่บอกว่าตัวเลขนี้ไม่จริงเพราะ สปสช.มีการปรับลดบางตัวเลข สปสช.ยังสุ่มตรวจเวชระเบียน เช่น สุ่มตรวจ 3 เล่ม แต่ขยายออกเป็น 100 เล่ม หากพบว่าหมอหรือพยาบาลลงข้อมูลไม่ครบจะโดนตัดทันที ที่ สปสช.เคยแจ้งว่า จะโอนงบฯให้ภายในวันที่ 17 ต.ค. แต่ก็โอนไม่หมด บอกว่าจะโอนไปให้อีกอาทิตย์ถัดไป แต่ที่สุดก็ยังโอนไม่ครบอยู่ดี ที่ต้องออกมาช่วยเหลือเพราะมีเหตุการณ์จริง คือ ผอ.รพ.หนึ่งโทร.มาหาว่า รอเงินจาก สปสช. เข้า 20 กว่าล้านบาท เพื่อนำไปจ่ายค่าบุคลากร ซื้อเวชภัณฑ์ แต่ปรากฏว่าเงินไม่เข้า แล้วยังกลายเป็นหนี้ สปสช.อีกเป็นสิบล้านบาท แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปให้เจ้าหน้าที่ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่ควรยุบ สปสช. แต่ควรปฏิรูปมากกว่าที่กระทรวงสาธารณสุข วันเดียวกัน กลุ่มคลินิกชุมชนอบอุ่นและตัวแทนคลินิกชุมชนอบอุ่นในพื้นที่ กทม. เดินทางมายื่นหนังสือถึงนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สาธารณสุข เรื่องให้เร่งแก้ไขปัญหาระบบ “ปฐมภูมิ” เขตเมืองและทบทวนกลไกการจ่ายงบประมาณของ สปสช. กทม. มี นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองปลัด สธ.เป็นผู้รับเรื่องแทน รมว.นพ.พินัย ล้วนเลิศ คณะอนุกรรมการหลัก ประกันสุขภาพระดับเขตพื้นที่ (อปสข.) เขต 13 กรุงเทพฯ กล่าวว่า กลุ่มคลินิกชุมชนอบอุ่นในพื้นที่ กทม. มีทั้งหมด 324 แห่ง มีคลินิกที่ถอนตัวไปแล้ว 64 แห่ง ปัจจุบันเหลือ 260 แห่ง จึงมายื่นข้อเรียกร้องให้ช่วยระบบปฐมภูมิในเขตเมืองอย่างเป็นรูปธรรม ขอให้ทบทวนการจัดสรรงบประมาณของ สปสช. ซึ่งส่งผลให้หน่วยบริการใน กทม.ขาดดุลกว่า 10,000 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2567 นอกจากนี้ คลินิกเอกชนยังถูกเรียกเก็บเงินค่าส่งต่อจาก รพ. เช่น คลินิกให้การรักษาไป 10,000 บาท สปสช.กลับคำนวณด้วยระบบ Point System จะเหลือเพียง 5,700 บาท อีกครึ่งหนึ่งคลินิกก็ต้องแบกรับภาระเอง หลายแห่งรับภาระไม่ไหว นอกจากนี้ สปสช.ยังเรียกเงินคืนจากคลินิกอีกเหมือนกรณี รพ.มงกุฎวัฒนะ ทำให้เกิดปัญหาเรื่องงบขาดดุล หากไม่รีบแก้ไขปัญหาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปี 2569 จะมีคลินิกลาออกจากระบบบัตรทองมากขึ้น ตอนนี้คลินิกที่ลาออกไปก็ทำให้ประชาชนรับผลกระทบแล้ว 2.2 แสนคน กระจายทุกโซนของ กทม.ด้าน พญ.นันทวัน ชอุ่มทอง นายกสมาคมคลินิกชุมชนอบอุ่น กล่าวว่า สมาคมขอเรียกร้องถึงนายกฯและ รมว.สาธารณสุข 3 เรื่องหลัก คือ 1.ตรวจสอบการใช้เงินของ สปสช.และเส้นทางการเงินของ สปสช.ว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนได้หรือไม่ เพราะ สปสช.เป็นทั้งหน่วยงานกำหนดนโยบาย คุมงบประมาณปีละ 2.6 แสนล้านบาท มากว่า 20 ปี จ่ายเงินงบฯและตรวจสอบงบฯขององค์กรเอง จึงอยากให้ตรวจสอบเพื่อความโปร่งใส ที่ผ่านมาเคยยื่นเรื่องถึง สตง. ผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่เรื่องเงียบหายไปกว่า 8 เดือน 2. ของบฯกลางมาเยียวยาหน่วยบริการปฐมภูมิ โดยไม่มีข้อแม้ เพราะหน่วยปฐมภูมิช่วยดูแลคนไข้ ช่วยลดความแออัดให้ รพ. จึงควรได้รับการช่วยเหลือ และ 3.ใช้โมเดลนพรัตน์ โดยแยกงบฯรักษา กับงบฯส่งต่อ ที่มีความชัดเจนในการบริหารจัดการขณะที่ นพ.โสภณ กล่าวว่า จะนำข้อมูลทั้งหมดเสนอ รมว.สาธารณสุข สิ่งที่น่าจะทำได้ทันทีคือ การตั้งคณะทำงานร่วมกันทั้ง สธ. สปสช.และคลินิกเอกชน เพื่อส่งข้อมูลและสื่อสารกันโดยตรงอย่างเป็นระบบ การนำเสนอเรื่องโมเดลนพรัตน์ คิดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในทางออกที่น่าสนใจ หากได้ผลดีก็น่าจะช่วยบรรเทาปัญหาได้ ส่วนกรณีที่มีการเผยแพร่ข่าวว่า สปสช.ค้างเงิน รพ.เอกชน ส่งผลให้ รพ.เอกชนลาออก จนเหลือในระบบไม่ถึง 10 แห่งนั้น ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช.และโฆษก สปสช.กล่าวสั้นๆว่า ยังไม่เห็นข้อมูล ขอตรวจสอบก่อนอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่