ปัญหาการกระทำความรุนแรงในครอบครัว เด็ก สตรี และกลุ่มหลากหลายทางเพศ มีให้เห็นไม่เว้นแต่ละวัน และกระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่ ขณะที่ผู้ถูกกระทำมักมีช่องว่างในการเข้าถึงความช่วยเหลือจากภาครัฐ บางกรณีถูกย่ำยีติดต่อกันเป็นปี แต่เรื่องเงียบ บาดแผลในใจไม่ได้รับการเยียวยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้บูรณาการช่องทางช่วยเหลือเข้าถึงประชาชนมากขึ้น โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ เป็นประธานเปิดโครงการ “ตำรวจริบบิ้นขาว” เพื่อเปิดช่องทางช่วยเหลือผู้ถูกกระทำความรุนแรงในหลายมิติ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคมโครงการนี้เริ่มนำร่องในเขต กทม. ครอบคลุม 88 สน. จัดตั้งทีมตำรวจริบบิ้นขาว ทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพ ทั้งแพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ ให้บริการช่วยเหลือผู้ถูกกระทำ ทั้งยังเป็น พี่เลี้ยงคดี คอยให้คำแนะนำการเดินหน้าคดีความ ขณะเดียวกันมีการสร้าง พื้นที่ปลอดภัย ภายใน โรงพยาบาลตำรวจ จัดให้มี จุดให้ความช่วยเหลือโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนที่อาจเสี่ยงหรือถูกคุกคามซ้ำ เช่นห้องให้คำปรึกษาที่เป็นมิตรแก่เด็ก สตรี กลุ่มหลากหลายทางเพศ ที่ถูกกระทำความรุนแรง ทั้งให้บริการทางการแพทย์ ตรวจร่างกายเบื้องต้น หรือส่งต่อหากมีอาการรุนแรง พร้อมให้คำปรึกษา ฟื้นฟูเยียวยาจิตใจสิ่งสำคัญคือ การรักษาความลับของผู้ถูกกระทำ ข้อมูลและเรื่องราวส่วนบุคคลจะถูกเก็บรักษาอย่างเข้มงวด เพื่อให้ผู้ประสบเหตุรู้สึกปลอดภัย กล้าที่จะเปิดเผยปัญหาโดยไม่ต้องกลัวจะถูกตีตราหรือนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม ไม่ต้องกังวลว่าชุมชนคนรอบข้างจะทราบเรื่อง สำหรับช่องทางการติดต่อโครงการ เช่น เพจเฟซบุ๊ก Because Depress We Care และสายด่วนสุขภาพจิต รพ.ตำรวจ โทร.08-1932-0000ในพิธีเปิดโครงการตำรวจริบบิ้นขาว ยังมีการจัดเสวนาหัวข้อ “เสียงที่ไม่เงียบงัน” มีความเห็นที่น่าสนใจจาก ดร.อนุสรี ทับสุวรรณ ประธานสถาบันอนุสรีรวมใจให้กัน อดีต สส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งเคยผลักดันกฎหมายด้านสังคมหลายฉบับ ได้สะท้อนพฤติกรรมการใช้คำพูดหยาบคายในสื่อโซเชียลมีเดียที่มากขึ้นทุกวัน และเป็นหนึ่งในต้นตอปัญหาการใช้ความรุนแรงในสังคมดร.อนุสรีกล่าวว่า อยากเห็นการปรับปรุงกฎหมายให้มีบทลงโทษที่ชัดเจนและเข้มงวดต่อผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว เพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำ และอยากผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิส่วนบุคคลต่อการลงสื่อสาธารณะ สังคมควรหยุดสนับสนุนความรุนแรงในโลกออนไลน์ที่กลายเป็นพื้นที่แห่งการทำร้ายกันโดยไม่รู้ตัว เพราะยุคนี้ใช้โซเชียลมีเดียเยอะ อินฟลูเอนเซอร์ที่มีคนติดตามจำนวนมากมักจะชอบใช้คำพูด ภาพ หรือคลิป ที่มีลักษณะรุนแรง อยากให้ทุกคนตระหนักไว้ก่อนว่า อะไรที่สมควรนำมาลง อะไรสมควรในการกดไลค์ไม่เช่นนั้นคนที่ทำภาพของความรุนแรงก็จะเกิดความรู้สึกว่าฉันต้องทำภาพอย่างนี้คนถึงจะชื่นชอบดร.อนุสรีระบุด้วยว่า การกระทำความรุนแรงไม่ได้หมายถึงแค่ร่างกาย แต่หมายรวมถึง คำพูดวาจา เดี๋ยวนี้สังคมเข้าใจผิดกลายเป็นว่าต้องพูดแรงๆ คำหยาบคาย ถึงจะมีคนติดตามเยอะ ทั้งๆที่การสื่อสารสามารถพูดด้วยคำสุภาพ นุ่มนวล ใช้ถ้อยคำตรงไปตรงมา อยู่ที่เนื้อหาสาระมากกว่า คำพูดรุนแรงส่งผลกระทบต่อจิตใจมาก อย่างที่คนพูดกันว่า “คำพูดบางคำเหมือนปืนลั่นไก เขม่าดำติดอยู่ที่ปากคนพูด แต่กระสุนฝังในใจคนฟัง” ฉะนั้นคำพูดที่ไปบูลลี่คนอื่น เขาได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจ และมีผลต่อพฤติกรรมในอนาคตด้วยกลุ่มที่ผมเป็นห่วงมากสุดคือเด็กและเยาวชนที่ยังขาดวิจารณญาณ อ่อนประสบการณ์ชีวิต พอเสพสื่อลักษณะนี้ซ้ำๆก็จะคุ้นชินและทำตาม หากเด็กไทยเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ แล้วประเทศจะน่าอยู่ได้อย่างไร ผมอยากชวนทุกฝ่ายโดยเฉพาะพิธีกรดังและอินฟลูเอนเซอร์งดใช้ถ้อยคำรุนแรงกันเถิด.ลมกรดคลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม