หนึ่งในภาพคุ้นชินที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของคนไทยทั้งประเทศคือ ภาพของพระมหากษัตริย์ที่ทรงพกแผนที่ไปด้วยทุกหนทุกแห่ง “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” ทรงต่อแผนที่ขนาดใหญ่กว่า 53 ซม.×55 ซม. ด้วยพระองค์เองในสำนักงานส่วนพระองค์ ซึ่งเป็นขนาดโดยประมาณของแผนที่ 1 ต่อ 50,000 จัดทำโดยกรมแผนที่ทหาร ปกติแผ่นหนึ่งจะครอบคลุมพื้นที่ 700 ตาราง กิโลเมตร แต่พื้นที่เสด็จฯมักกว้างกว่านั้นมาก พระปรีชาสามารถในด้านแผนที่ล้วนสั่งสมมาจากประสบการณ์การใช้แผนที่ต่อเนื่องยาวนาน ตั้งแต่เมื่อครั้งเริ่มเสด็จออกเยี่ยมราษฎรทางภาคอีสาน ในปี 2498 คงไม่มีที่ไหนในโลกที่พระมหากษัตริย์จะออกไปแล้วประชาชนมานั่งเล่าถึงความทุกข์ให้ฟัง แล้วพากันไปดูจนถึงหลังบ้าน ในแต่ละปี “พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” เสด็จ ออกปฏิบัติพระราชกรณียกิจราว 500-600 ครั้ง รวมระยะทาง 25,000-30,000 กิโลเมตร ในการเสด็จเยี่ยมราษฎรนั้นจะทรงเป็นกันเองอย่างมากกับประชาชน ทรงแทนพระองค์เองว่า “ฉัน” และจะทรงพอพระทัยมากหากได้ฟังข้อมูลจากปากของราษฎรเองผู้ตามเสด็จต่างทราบดีว่าจะโปรดมากถ้าทรงพบราษฎรที่รู้ข้อมูลในหมู่บ้านดี บางคราวประทับกับพื้น จะทรงชวนคุยเรื่องทั่วๆไปก่อน จนเมื่อชาวบ้านเกิดความสบายใจแล้ว จึงค่อยๆ ขยับไปถามถึงการทำมาหากิน ชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนปัญหาทุกข์ยากของพวกเขา ซึ่งมักวนเวียนอยู่กับเรื่องปัญหาด้านสุขภาพ โดยทุกครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรตามภูมิภาคต่างๆ จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หน่วยแพทย์พระราชทานและหน่วยทันตกรรมพระราชทานออกหน่วยรักษาผู้ป่วยด้วยเสมอ ในฐานะพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนักที่สุดในโลก “พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในทุกด้าน โดยเฉพาะทรงมีความเป็นไทยอย่างที่สุด สะท้อนให้เห็นจากพระราชจริยวัตรของพระองค์ ทั้งเรียบง่าย, พอดี และมีความอ่อนน้อมถ่อมตน เห็นควรที่ประชาชนคนไทยจะต้องหันมาตามรอยพระยุคล บาท โดยยึดเอาหลักธรรมทั้งหลายที่ทรงแสดงให้เห็นมาใช้เป็นหลักปฏิบัติ เพื่อความดีงามจะบังเกิดขึ้นในชีวิต ท่ามกลางความผันผวนของโลกยุคดิสรัปชัน“อ่อนน้อมถ่อมตน เรียบง่าย และประหยัด” เวลาเสด็จเยี่ยมราษฎรจะทรงโน้มพระวรกายเข้าหาประชาชน คุกเข่าหน้าประชาชน ถามทุกข์สุข ปรึกษาหารือกับชาวบ้านเป็นชั่วโมงๆ บางครั้งประทับพับเพียบ ประชาชนนั่งพับเพียบ พระองค์ท่านก็ทรุดพระวรกายนั่งพับเพียบเสมอบนพื้นเดียวกัน เวลาทรงงานต่างๆ โปรดที่จะทรงประทับกับพื้น ทรงประทับพับเพียบได้เป็น 5-6 ชั่วโมง ไม่เปลี่ยนท่าเลย ทรงมีวินัยควบคุมพระวรกาย ทรงกองเอกสารบนพื้น และให้ทุกคนนั่งล้อมวงเฝ้ากัน ไม่ต้องเข้าห้องประชุม ไม่ต้องมีโต๊ะเก้าอี้ เรื่องฉลองพระองค์และฉลองพระบาททรงใช้เป็นสิบๆปี ไม่เคยเปลี่ยนยี่ห้อ นาฬิกาของพระองค์ท่านก็ราคาไม่กี่ร้อยบาท ทรงเรียกขานว่ายี่ห้อใส่แล้วโก้ “มุ่งประโยชน์คนส่วนใหญ่เป็นหลัก”จะทำอะไรให้ขจัดความเห็น แก่ตัวออกไปได้ไหม แล้วมุ่งประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง นั่นคือประโยชน์ของแผ่นดิน พระองค์ท่านทรงยึดถือประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้งโดยตลอด ไม่เคยนึกถึงพระวรกายแม้แต่น้อย“รับฟังความเห็นของผู้อื่น เคารพความคิดที่แตกต่าง” บ้านเมืองทะเลาะกันเพราะเราไม่รับฟังความเห็นของผู้อื่น พระองค์ท่านทรงรับสั่งเอาไว้ว่า เวลานั่งปรึกษาหารือกัน ฟังเขาแสดงเหตุแสดงผลออกมา แล้วเราแสดงเหตุแสดงผลออกไป แล้วดูสิ เหตุผลอันไหนจะยอมรับได้ถูกต้องมากกว่า และเมื่อตกลงกันแล้ว ก็เลิกเถียงกันต่อ ลงมือปฏิบัติเลย“มีความตั้งใจจริงและขยันหมั่นเพียร” เวลาทรงทำอะไรจะทรงมุ่งมั่นมาก ทรงตั้งพระทัยจริง และนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นผลได้จริง ทรงงานไม่มีวันเสาร์วันอาทิตย์ ไม่มีเวลากลางวันกลางคืน ทรงงานหนักจนเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วว่า ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงงานหนักที่สุดในโลก“มีความกตัญญู” ไม่เพียงแต่จะทรงกตัญญูต่อสมเด็จพระศรีนคริน ทราบรมราชชนนี แต่ยังทรงกตัญญูต่อแผ่นดินจนเป็นที่ประจักษ์ “เศรษฐกิจพอเพียง” ทรงเน้นย้ำถึงความหมายแท้จริงของคำว่าเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่กลับไปปลูกถั่ว ปลูกงาทำเกษตรกันทั้งประเทศ แต่เศรษฐกิจพอเพียงคือการกำหนดเส้นความพอให้กับตนเอง และยึดเส้นนั้นไว้เป็นมาตรฐานของตนเอง คำว่า “พอ” ก็ต้องดูตัวเอง ดูรายได้ของตัวเอง ดูขีดความสามารถของตัวเอง และขีดเส้นนั้นให้เหมาะสม “การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน” ทรงรับสั่งว่ารู้ไหมบ้านเมืองอยู่รอดมาได้ทุกวันนี้เพราะอะไร เพราะคนไทยเรายังให้กันอยู่ คำว่า “เรายังให้กันอยู่” คือคนในครอบครัวยังช่วยเหลือกันและกันอยู่ คนในชุมชนยังเอื้อเฟื้อกันอยู่ ข้าราชการยังให้บริการประชาชนด้วยความเต็มใจ เวลาเกิดทุกข์ยากที่ไหน คนไทยยังรวมตัวกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรม ชนกาธิเบศร มหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช บรม นาถบพิตร “วันนวมินทร มหาราช” 13 ตุลาคม 2568 ขอร่วมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของ “พระมหากษัตริย์ผู้ทรงงานหนักที่สุดในโลก” ซึ่งทรงห่วงใยในทุกข์สุขของปวงประชาราษฎร์ และทรงใช้ความเพียรอันบริสุทธิ์มาตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษ เพื่อประโยชน์สุขของคนไทยทั้งประเทศ.ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่