เมื่อสาวข้าราชการคนหนึ่งก้าวกระโดดขึ้นสู่ “ตำแหน่งสำคัญในเวลาอันรวดเร็ว” กลายเป็นประเด็นคำถามเรื่องความโปร่งใสและเป็นธรรมในวงข้าราชการไทยที่ยังไร้คำตอบจากผู้มีอำนาจ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ยังเป็นวงจรถูกปล่อยให้เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะผู้ได้ประโยชน์ไม่มีแรงจูงใจที่จะเปลี่ยนแปลงสะท้อนเห็นถึงโครงสร้างราชการถูกครอบงำ “ด้วยเส้นสายการอุปถัมภ์มากกว่าความสามารถ” ส่งผลให้มีเสียงวิจารณ์จากสังคมหนาหูมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่รัฐบาลกลับแถลงนโยบายด้านการปราบปรามคอร์รัปชันเพียงไม่กี่บรรทัดจากนักการเมืองฝ่ายค้านที่เคยต่อต้านในวันวานกลับเงียบงันเมื่อได้เป็นรัฐบาลในวันนี้ทำให้ข้าราชการดีๆถอดใจ ประชาชนเบื่อหน่ายและประเทศไทยยังติดกับดักอำนาจนิยมแบบเดิมๆ ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) บอกว่า ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ทำนองแบบนี้เรามักจะเห็นสังคมออกมาตำหนิ และเกิดการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของเส้นสาย ตั๋ว หรืออภิสิทธิ์ชนกันอยู่เสมอ ผลตามมาก็คือ “ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้” มักเลือกที่จะเงียบปล่อยให้เวลาผ่านไปรอ ให้กระแสข่าวใหม่มากลบเงียบหายไปเอง “ไม่มีการแก้ไข” ทำให้เราเห็นเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำซากเป็นวัฏจักรที่ไม่จบสิ้น อย่างกรณีสาวคนดังสมัยเป็นตำรวจเลื่อนขั้นเร็วนั้นแม้ก่อนหน้านี้ สตช.เคยออกมาระบุว่าเป็นไปตามกฎ ก.ตร.ก็ตามแต่สิ่งที่สังเกตเห็นคือ “ผู้มีอำนาจกลับพร้อมใจกันเงียบ” ส่งผลให้ปัญหาไม่ได้แก้ไขกลายเป็นตัวสะท้อนให้คนไทยเห็นถึงสภาพของระบบอุปถัมภ์หมักหมมมานาน หากปัญหาการเอื้อประโยชน์ยังไม่ถูกเปิดเผย และถกเถียงกันอย่างจริงจังในเวทีสาธารณะก็ยากที่จะหยุดวัฒนธรรมเส้นสาย หรืออภิสิทธิ์ชนในสังคมได้เพราะเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ส่วนตัว ผลประโยชน์ทางธุรกิจหรือเรื่องทางการเมือง ทำให้คนที่มีอำนาจและผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเช่นผู้บังคับบัญชาถึงแม้อาจจะไม่ใช่คนอยู่เบื้องหลังโดยตรงในการดันให้บุคคลเข้าสู่ตำแหน่งก็ตาม แต่ก็มีความพยายามปกปิดพฤติกรรมอันทำไปเพราะจำเป็นหรือเพราะตั้งใจ...?เพื่อปกป้องตัวเองไม่ให้เดือดร้อน หรือปกป้องระบบสีเทาๆ “สิ่งเหล่านี้ล้วนทำลายองค์กร” แถมลดทอนกำลังใจข้าราชการที่ตั้งใจทำงานสุจริต สุดท้ายระบบราชการก็เสื่อมศรัทธาในสายตาประชาชนมากขึ้นทุกวันเรื่องที่น่าเสียดายคือ “ผู้มีอำนาจบางคนมองในเชิงพวกใครพวกมัน” ใช้อำนาจดันคนของตนโดยไม่คำนึงถึงผลเสียต่อระบบราชการและความศรัทธาของประชาชน ยิ่งกว่านั้นคนไทยไม่น้อยกลับชื่นชอบยอมรับการมีอภิสิทธิ์จนถูกมองเป็นเรื่องปกติ “ลักษณะตัวเองได้พวกพ้องมีประโยชน์” โดยไม่คิดว่าจะคุ้มค่ากับส่วนรวมหรือไม่ดังนั้นระบบอุปถัมภ์จึงไม่ใช่แค่ “เรื่องแต่งตั้งโยกย้าย” แม้แต่การแย่งชิงสิทธิ์เพื่อเข้าเรียน ร.ร.ปลัดอำเภอ หรือ ร.ร.นายอำเภอ ซึ่งควรจะเป็นกระบวนการที่ยุติธรรม “ก็ปรากฏข่าวลือมีการวิ่งเต้นใช้เส้นสายเกิดขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน” เพราะเรื่องพวกนี้ไม่เคยได้รับการแก้ไขทั้งที่ทุกคนก็รู้ว่าผิดกลับไม่เคยละอายที่จะทำต่อไปตอกย้ำว่า “การเลื่อนตำแหน่งสาวคนดัง” ที่ขาดคุณสมบัติด้านการศึกษา และประสบการณ์สร้างข้อกังขาถูกวิจารณ์จากสังคมอย่างหนัก หากรัฐบาลปล่อยผ่านเหมือนที่ผ่านมาก็เท่ากับยอมรับระบบเส้นสายอภิสิทธิ์เป็นเรื่องปกติ “ย่อมไม่ถูกต้อง” ในฐานะคนทำงานด้านต่อต้านการคอร์รัปชันคงต้องขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง“เรื่องระบบเส้นสายอภิสิทธิ์ในระบบราชการนั้นคนไทยต้องหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาพูดซ้ำๆ และพูดให้ดังขึ้น ซึ่งเราต้องไม่ยอมรับคำอธิบายลวกๆจากผู้มีอำนาจที่พยายามปกปิด หรือช่วยเหลือผู้กระทำผิด เพราะสิ่งพวกนี้น่ารังเกียจต้องออกมาประณามอย่างรุนแรง ถ้าหากไม่ทำแล้วทุกอย่างก็จะไม่มีวันจบสิ้นไป” ดร.มานะว่าย้ำด้วยทุกวันนี้สังคมไทยมักพูดถึง “การปฏิรูประบบราชการ” ถ้าเริ่มต้นจัดการกับอภิสิทธิ์ และผลประโยชน์ทับซ้อนแบบนี้ “การปฏิรูปก็จะสำเร็จ” เพียงแต่คนมีอำนาจไม่ลงมือยังคงเล่นพวกใครพวกมันกันอยู่แม้ว่าประชาชนจะดูนิ่งเฉย “แต่ก็ไม่ใช่ว่ายอมรับแค่เอือมระอา และไม่รู้จะแก้อย่างไร...?” แล้วในวันนี้หลายคนเริ่มมีความหวังกับรัฐบาลชุดใหม่ ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจ ความขัดแย้ง และการคอร์รัปชันที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมต่างก็อยากเห็นประเทศเดินหน้าเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดีในตอนที่รัฐบาลคุณอนุทินเข้ามาเป็นรัฐบาลนี้ ถ้าย้อนกลับมาดูความชัดเจนจาก “รัฐบาลในการปราบปรามการทุจริต” สิ่งที่แถลงต่อรัฐสภาในวันแรกนั้นคำพูดออกไปต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะนโยบายการต่อต้านคอร์รัปชันในข้อ 9.2 ระบุจะไม่ใช้กฎหมาย และหน่วยงานของรัฐ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งก็สำคัญมากเพราะที่ผ่านมารัฐมักถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นกรณีเขากระโดง สนามกอล์ฟอัลไพน์และการฮั้ว สว. โดยนำหน่วยงานราชการอย่างการรถไฟฯ กรมที่ดิน หรือ DSI มาใช้ตอบโต้กันทางการเมือง อ้างกฎหมาย และตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ทั้งที่บางกรณีมีคำพิพากษาของศาลฎีกาหรือศาลปกครองสูงสุด ทำให้ประชาชนรวมถึงชาวต่างชาติมองว่านิติรัฐไทยแทบไม่เหลือแล้วตอนนี้กลายเป็นว่า “ใครมีเสียง ใครถือกฎหมาย ใครถืออำนาจ” ก็จะใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นอาวุธมาปกป้องเจ้านาย หรือปัดป้องรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง ฉะนั้นถ้ารัฐบาลสามารถทำข้อ 9.2 ได้จริงตามที่ประกาศไว้ก็จะจัดการกับระบบการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย คอร์รัปชันทางการเมือง และผลประโยชน์ทับซ้อนลดน้อยหายไปได้แต่ปัญหานี้แก้ยากเพราะพฤติกรรมคอร์รัปชันถูกฝังรากลึกในนักการเมืองบางคนเป็นวัฒนธรรมการเมืองไทย “มักเก่งเรื่องปราบโกงตอนเป็นฝ่ายค้าน” ทั้งตรวจสอบ เสนอแนวทางรู้ไปทุกอย่างที่จะจัดการปัญหายังไงพอกลายมาเป็นรัฐบาลเมื่อไหร่ “มักจะตาบอด หูหนวก และพูดไม่ออก” ส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะไม่อยากขัดใจพวกพ้อง หรือไม่อยากเสียโอกาสของตัวเองในวันข้างหน้า หรือไม่อย่างนั้นพวกพ้องของตัวเองก็มีพฤติกรรมโกงอยู่แล้วเลยไม่กล้าพูด และไม่กล้าจัดการปัญหาการคอร์รัปชันอย่างจริงจังหรือไม่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นและเป็นกับดักที่ประเทศไทยติดมานาน คือ พอนักการเมืองมีอำนาจมักจะมองว่า ระบบราชการ และเจ้าหน้าที่รัฐที่สีเทาๆนั้น “ควรปล่อยไว้แบบนี้เพื่อจะทำให้สามารถครอบงำ ควบคุม และใช้งานได้ง่ายๆ” ในที่นี้หมายถึงใช้เพื่อตักตวงผลประโยชน์ส่วนตัว ใช้เพื่อคดโกง หรือใช้เพื่อเล่นงานศัตรูทางการเมืองนี่คือเหตุผลในระบบราชการที่ “สีเทาๆถูกปล่อยให้ดำรงอยู่” เพื่อทำให้กลายเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจมากกว่าจะเป็นระบบที่ยึดหลักนิติธรรม และรับใช้ประชาชนได้จริง.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม