ศาลอาญาพิพากษาประหาร ชีวิต “จ่าเอ็ม” มือสังหารยิง “ลิม กิมยา” อดีต สส. ฝ่ายค้านกัมพูชา จำคุก 8 เดือน ข้อหายิงปืนในที่สาธารณะ และจำคุก 6 เดือน ข้อหาพาอาวุธปืน แต่เจ้าตัวสารภาพ ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ส่วนคนขับรถ จำเลยที่ 2 ขับรถพามือปืนจาก จ.ชลบุรี ส่ง จ.สระแก้วพิพากษา ยกฟ้อง เหตุไม่มีหลักฐานว่ามีเจตนาพาหนีประหารชีวิต “จ่าเอ็ม” มือปืนสังหารอดีต สส.เขมรกลางกรุง โดยเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่3ต.ค. ที่ห้องพิจารณา 806 ศาลอาญา ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ นางอานน์ มารี อ็องเดร ครูช ภรรยาผู้ตาย เป็นโจทก์ร่วมยื่นฟ้อง พ.จ.อ.เอกลักษณ์ หรือจ่าเอ็ม แพน้อย และนายชาคิต หรือชำนาญ บัวปลี เป็นจำเลยที่ 1-2 โดยจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมืองฯ ใช้ปืนยิงนายลิม กิมยา อายุ 74 ปี ชาวกัมพูชา อดีตสมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้านพรรคกู้ชาติกัมพูชา เสียชีวิต เมื่อเย็นวันที่ 7 ม.ค.68 ที่บริเวณวงเวียน 13 ห้าง ย่านถนนข้าวสาร ส่วนจำเลยที่ 2 ถูกกล่าวหาช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษคดีนี้จำเลยที่ 1 รับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมารับฟังได้เป็นที่พอใจปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายใช้ปืนยิงผู้ตาย มีเจตนาฆ่าผู้ตายให้ถึงแก่ความตายอันเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อนพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมืองฯ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 8 เดือน และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองฯ จำคุก 6 เดือนจำเลยที่ 1 รับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้จำคุกตลอดชีวิต ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 4 เดือน และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองฯ จำคุก 3 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงให้จำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิตสถานเดียว และริบของกลาง กับให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม เป็นเงิน 1,790,599 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปีส่วนจำเลยที่ 2 ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 มีอาชีพขับรถรับจ้าง เมื่อจำเลยที่ 1 ว่าจ้างให้ไปส่งที่ ต.คลองหาด อ.สระแก้ว จ.สระแก้ว การโทรศัพท์หากันนัดหมายสถานที่เป็นเรื่องปกติ โดยจำเลยที่ 2 คิดค่าว่าจ้าง 4,500 บาท เป็นราคาที่สมเหตุสมผล กรณีจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์รับจ้างไปส่งจำเลยที่ 1 จาก จ.ชลบุรี ไป จ.สระแก้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาพิเศษ เมื่อจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธมาตลอด พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังเพื่อลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ จึงไม่มีความผิดตามฟ้องพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่