บันทึกความเข้าใจ MOU 2543 “ระหว่างไทย-กัมพูชา” กำลังเป็นประเด็นร้อนหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันอีกครั้ง “จนคนในสังคมบางส่วนเรียกร้องให้ยกเลิก” เนื่องจากถูกมองว่ากระทบต่อผลประโยชน์ของชาติด้านความมั่นคง “เขตแดน” เปิดช่องให้ต้องเสียเปรียบเชิงยุทธศาสตร์มาตลอดหลายปีด้วยเหตุที่ว่า “ฝ่ายกัมพูชาไม่เคารพ และละเมิด MOU” ตั้งแต่สร้างสิ่งปลูกสร้าง ตัดต้นไม้ ปลูกพืชไร่ และก่อสร้างกาสิโน “ฝ่ายไทยประท้วงไปกว่า 600 ครั้ง” เพื่อให้แก้ไขแต่กลับไร้ซึ่งความร่วมมือแถมยังเผาศาลาตรีมุข และนำกำลังเข้ามาขุดคูเลทรุกล้ำอธิปไตยของไทย แม้จะมีการเจรจาก็ไม่ยอม นำมาสู่เหตุการณ์ปะทะสู้รบกันขึ้นจริงๆแล้วถ้าย้อนดูจุดเริ่มต้น “MOU 43” เป็นบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาเมื่อปี 2543 และถัดมาในปี 2544 ก็มีการทำบันทึกข้อตกลงเพิ่มอีก 1 ฉบับ คือ “MOU 44” อันเกี่ยวกับเขตไหล่ทวีปทับซ้อนในทะเล “สองฉบับนี้มีสาระสำคัญแตกต่างกัน” ใช้หลักกฎหมายคนละชุดกันด้วย แต่ถ้าลงลึกดูเฉพาะ “เขตแดนทางบก” ประเทศไทยอ้างอิงตามอนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสปี ค.ศ.1904 และสนธิสัญญาปี ค.ศ.1907 “ยึดตามสันปันน้ำ” ที่อ้างอิงจากจุดสูงสุดของสันเขาทำหน้าที่เป็นแนวเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาตั้งแต่ช่วง ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี จนถึงบริเวณช่องสะงํา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษเนื่องจากบริเวณดังกล่าวไม่มีการจัดทำหลักเขตแดนไว้เมื่อ 100 กว่าปีก่อน เพราะด้วยสภาพสันปันน้ำมีลักษณะแบ่งเขตแดนกันชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนจุดเริ่มต้นปัญหานั้น คำนูณ สิทธิสมาน อดีต สว. เล่าว่า เมื่อ ค.ศ.1908 ฝรั่งเศสทำแผนที่ขึ้นตามผลการปักปันเขตแดน คกก.ร่วมสยาม-ฝรั่งเศสที่ตั้งขึ้นตามสนธิสัญญา 1904 และ 1907ผลคือ “ก่อเกิดแผนที่ 11 ฉบับ หรือที่เรียกว่า 11 ระวาง” ปัจจุบันใช้เพียง 7 ระวางในเขตแดนไทย-กัมพูชาจนกลายมาเป็นความจริงอย่างที่ 2 คือ “เนื้อหาแผนที่ไม่ได้เป็นไปตามข้อตกลงเดิมไทย–ฝรั่งเศส” ที่ระบุให้เส้นเขตแดนต้องยึดตามแนวสันปันน้ำ โดยข้อเท็จจริงนี้ถูกปรากฏขึ้นในช่วงปี 2502-2505เมื่อกัมพูชายื่นฟ้องต่อศาลโลก “อ้างแผนที่ฉบับหนึ่งใน 11 ฉบับที่เรียกว่าระวางดงรัก” อันจะเห็นได้ชัดว่ามีจุดเส้นเขตแดนบนแผนที่ไม่สอดคล้องแนวสันปันน้ำคลาดเคลื่อน 4.6 ตร.กม. เพราะเป็นแผนที่ถูกเขียนทำขึ้นมีเจตนาให้ตัวปราสาทพระวิหาร และพื้นที่โดยรอบ เช่น ภูมะเขือ อยู่ในเขตแดนของกัมพูชามาสนับสนุนคำร้องนั้นขณะนั้นฝ่ายไทยก็มีการต่อสู้ยืนยันว่า “แผนที่ทั้ง 11 ฉบับไม่ใช่เกิดจาก คกก.ปักปันเขตแดนร่วมสยาม–ฝรั่งเศส” เหตุเพราะหลังฝรั่งเศสจัดทำแผนที่แล้ว “ส่งกลับมายังฝ่ายไทย” ก็ไม่ได้รับการเห็นชอบ หรือตรวจสอบจาก คกก.ร่วมผสมสยาม-ฝรั่งเศส เนื่องจาก คกก.ชุดนี้ได้ยุติบทบาท หรือสลายตัวไปก่อน ดังนั้น MOU43 ที่มีข้อความเขียนไว้ให้ 2 ประเทศร่วมกันสำรวจจัดทำหลักเขตแดนทางบกเป็นไปตามเอกสารดังต่อไปนี้ข้อ 1 (ก) อนุสัญญา ค.ศ.1904 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส (ข) สนธิสัญญา ค.ศ.1907แต่ว่าข้อ 1 (ค) ของ MOU ระบุว่าแผนที่ 1:200,000 จำนวน 11 ระวางโดยอ้างเป็นผลผลิตของ คกก.ร่วมผสมกลายเป็นการยอมรับแผนที่ 1:200,000 ทั้งที่ในอดีตไทยเคยโต้แย้งอย่างหนักโดยเฉพาะช่วงปี 2502 “ยืนยันว่าแผนที่ชุดนี้ไม่ใช่ผลงานของ คกก.ผสมสยาม–ฝรั่งเศส” โดยเฉพาะจุดคลาดเคลื่อนชัดเจนอย่างแผนที่ระวางดงรักเรื่องนี้กลายเป็นความจริงจาก “หนึ่งถูกแปลออกมาเป็นสอง” เพราะเดิมทีเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาควรจะยึดตามแนวสันปันน้ำเป็นหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในอนุสัญญา และสนธิสัญญาตามที่ได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่ต้นแต่เมื่อมีแผนที่ 1:200,000 เข้ามาหลังลงนาม MOU43 “เส้นเขตแดนย่อมไม่อาจยึดแนวสันปันน้ำเพียงอย่าเดียว” แต่ต้องพิจารณาคู่กับแผนที่ดังกล่าว ซึ่งไม่อาจแน่ใจได้ว่าคลาดเคลื่อนเบี่ยงเบนจากความจริงเพียงใดตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ “แผนที่ระวางดงรัก” ซึ่งถูกใช้เป็นหลักฐานในคดีปราสาทพระวิหารต่อศาลโลก ทำให้ไทยต้องเสียปราสาทให้กัมพูชาในปี 2505 และพื้นที่รอบปราสาทก็ยังคงเป็นเขตพิพาทต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันเช่นนี้หากจะพูดถึง “การเจรจาไทย–กัมพูชาแทบเป็นไปไม่ได้” ด้วยเอกสารอ้างอิงหลักตาม MOU 43 ข้อ 1 แตกต่างกันชัดเจน “ฝ่ายไทย” ยึดถืออนุสัญญา 1904 และยอมรับสนธิสัญญา 1907 แต่แผนที่ 1:200,000 ซึ่งอ้างเป็นผลงานของ คกก.ผสม “ไทยไม่ยอมรับ” เพราะเห็นว่าแผนที่ไม่เป็นไปตามหลักสันปันน้ำตามข้อ ก.และข้อ ข.ในทางกลับกัน “กัมพูชากลับยึดแผนที่ 1:200,000” เพราะเป็นเอกสารที่ให้ประโยชน์กับตนเอง และยิ่งกว่านั้นก่อนเหตุปะทะกันตามชายแดนในประชุม JBC เมื่อวันที่ 14-15 มิ.ย.2568 ท่าทีผู้นำกัมพูชาไม่ว่าจะเป็นฮุน เซน หรือฮุน มาเนต “ต่างยึดมั่นแผนที่ 1:200,000” แล้วก็ไม่อาจยอมรับแผนที่ 1:50,000 ที่อ้างจัดทำขึ้นฝ่ายเดียว “เรื่องนี้พอสื่อมวลชนสอบถามไปยังกระทรวงการต่างประเทศของไทยก็ตอบไม่มีความชัดเจน บอกแค่เพียงว่าในการเจรจานั้นไม่ได้มีการพูดถึงแผนที่ 1:200,000 แต่ถ้าพิจารณาให้ดีข้อความนี้ไม่เหมือนกับข้อความที่ควรจะเป็นว่าประเทศไทยไม่ยอมรับแผนที่ 1 : 200,000 เพราะเป็นแผนที่ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นฝ่ายเดียว” คำนูณ ว่าแต่ในส่วนกัมพูชากลับแสดงจุดยืนมาตลอด “ยึดมั่นแผนที่ชุดนี้ในการจัดทำแนวเขตแดนทางบก” อย่างล่าสุดในช่วงวันที่ 18 ก.ค.2568 “ฮุน มาเนต” ยังโพสต์เอกสารฉบับเต็ม MOU 43 ทั้งภาษาไทย เขมร อังกฤษ แถมไฮไลต์เฉพาะข้อ 1 (ก) อนุสัญญา ค.ศ.1904 (ข) สนธิสัญญา ค.ศ.1907 และ (ค) แผนที่ 1:200,000แม้ว่าฮุน มาเนต จะไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ “แต่การนำเสนอก็เหมือนเป็นการเตือนความจำฝ่ายไทย” เฮ้...นี่คือสิ่งที่คุณเป็นฝ่ายเซ็นลงนามเอาไว้เองเมื่อปี 2543 และคุณก็ยอมรับแผนที่ 1 : 200,000 เรื่องนี้แหละที่กลายเป็นต้นตอของประเด็นปัญหาใหญ่สำคัญทำให้ผู้คนในสังคมไทยจำนวนไม่น้อยต่างออกมาคัดค้าน MOU 2543เพราะการลงนามใน MOU2543 เมื่อ 25 ปีก่อน “เป็นการไปยอมรับแผนที่ 1:200,000” ทำให้ฝ่ายกัมพูชาเคลื่อนไหวต้องการยืนยันเนื้อหาใน MOU รวมถึงตีความที่เอื้อต่อการใช้แผนที่นี้ในการจัดทำแนวเขตแดนตลอดฉะนั้นแนวทางเช่นนี้ “ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย” เพราะแผนที่มีข้อคลาดเคลื่อนจากแนวสันปันน้ำ “หลายกรณีทำให้ไทยต้องเสียเปรียบทางพื้นที่” หากปล่อยให้การตีความ MOU43 และการเจรจาเดินหน้าตามกรอบนี้ต่อไปย่อมมีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การเสียดินแดนเพิ่มเติมในอนาคต.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม