เมื่อภาษาไทยต้องอยู่อย่างสง่างาม ท่ามกลางคลื่นดิจิทัลซัดเข้ามาไม่หยุดเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ให้ “ราชบัณฑิตยสภา” เสาหลักทำหน้าที่บัญญัติศัพท์ และชำระพจนานุกรมให้ก้าวทันสู่โลกอนาคตในยุคสื่อดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตผู้คนนี้ บทบาทของราชบัณฑิตยสภาในวาระครบรอบ 100 ปี จึงไม่ได้มีแค่การรักษาภาษาเท่านั้นแต่ต้องเป็นผู้นำในการเปิดรับสิ่งใหม่ๆและเชื่อมโยงภาษาไทยจากอดีตสู่อนาคตการปรับตัวให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมการสื่อสารของคนรุ่นใหม่นี้ ศ.เกียรติคุณ นพ.สุรพล อิสรไกรศีล นายกราชบัณฑิตยสภา บอกว่า เดิมสถานที่แห่งนี้มีชื่อว่าราชบัณฑิตยสถาน ก่อตั้งในสมัยรัชกาลที่ 7 มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมนักปราชญ์ และผู้เชี่ยวชาญในแขนงวิชาต่างๆมาทำหน้าที่เป็นเสาหลักทางวิชาการของชาติภารกิจที่โดดเด่นเป็นที่รู้กันคือ “จัดทำพจนานุกรมฉบับราช บัณฑิตยสภา” เป็นแหล่งอ้างอิงบรรทัดฐานสูงสุดของการใช้ภาษาไทยอย่างเป็นทางการ และยังมีการบัญญัติศัพท์รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางของการส่งเสริมงานวิจัย และองค์ความรู้ ซึ่งมีภาคีสมาชิกเป็นผู้ทรงคุณวุฒิใน 3 สาขา ไม่ว่าจะเป็นสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง สำนักวิทยาศาสตร์ และสำนักศิลปกรรม ซึ่งครอบคลุมศาสตร์ตั้งแต่กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การแพทย์ วิศวะ เภสัช วรรณกรรมและศิลปะ ก่อนจะมาเปลี่ยนชื่อเป็นราชบัณฑิตยสภาตาม พ.ร.บ.ราชบัณฑิตยสภา พ.ศ.2558 เป็นการปรับโครงสร้างเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานนั้นจริงๆแล้วราชบัณฑิตยสภา “มีหน้าที่บำรุงส่งเสริมสรรพวิชาในการค้นคว้า วิจัย เผยแพร่ความรู้ทางวิชาการในหลายสาขา” เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชน สังคม และยังให้คำแนะนำในประเด็นปัญหาสำคัญอันเป็นประโยชน์ต่อรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี ในการกำหนดนโยบายของรัฐบาลด้านงานทางวิชาการต่างๆดังนั้น บทบาทราชบัณฑิตยสภา “ไม่ได้จำกัดแค่บัญญัติศัพท์” แต่ครอบคลุมถึงประเด็นที่ส่งผลต่อประเทศเพราะที่ผ่านมาเราเคยจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐบาลหลายครั้ง เช่น เรื่องภาวะโลกร้อน ความเหลื่อมล้ำ รวมถึงประเด็นวัฒนธรรม เช่น วิกฤติพระพุทธศาสนา เพื่อหารือพระสงฆ์ไทยควรมีแนวทางรับมืออย่างไรให้เหมาะสมยิ่งในศตวรรษใหม่นี้ก็มุ่งหมายขยายบทบาท “เน้นเรื่องวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และประเด็นที่เป็นปัญหาสำคัญของประเทศ” เพื่อให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลก และความต้องการของสังคมไทยในโอกาสที่ราชบัณฑิตยสภาจะครบรอบ 100 ปีก็ได้เริ่มต้นจัดกิจกรรมต่างๆตั้งแต่ปีที่แล้วไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศจากผลกระทบภาวะโลกร้อน แล้วในปีนี้ก็มุ่งเน้นเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันอันส่งผลกระทบต่อการทำงานในทุกภาคส่วนอันใกล้นี้ ส่วนปีหน้ามีแผนจัดการประชุมใหญ่เปิดเวทีให้หารือประเด็นผลกระทบช่วง 10 ปีข้างหน้า เพราะด้วยเทคโนโลยีก้าวหน้าไปเร็ว “การเข้ามาของ AI ยิ่งทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยน” ทั้งในแง่การทำงานและการใช้ชีวิตจำเป็นต้องศึกษาทางด้านโอกาสและความท้าทายเพื่อนำไปสู่การพูดคุยเชิงนโยบายเสนอเป็นแนวทางให้รัฐบาลรับมือกับเรื่องนี้ต่อไป“ผมเชื่อในอนาคต AI จะเป็นมากกว่าเทคโนโลยีทั่วไปเข้ามาปฏิวัติครั้งใหม่เหมือนอุตสาหกรรมในอดีต ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับที่ลึกซึ้งและกว้างขวางจนหลายอาชีพอาจจะค่อยๆหายไป แล้วก็จะมีอาชีพใหม่ๆเกิดขึ้นทดแทน เช่นนี้เราทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ และรู้เท่าทันในการรับมือด้วย” ศ.เกียรติคุณ นพ.สุรพล ว่าถัดมาดูรากปัญหาเชิงลึกพื้นฐานค่านิยมของคนไทยมักยึดแนวคิดที่ว่า “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” ส่งผลให้ยึดผลประโยชน์ส่วนตนมาก่อนส่วนรวม กลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ ทำให้มีแนวคิดจะสร้างสังคมคุณภาพตั้งแต่การมีวัฒนธรรมพลเมืองที่ดี มีวินัย จิตสาธารณะ และเคารพประโยชน์ส่วนรวมเริ่มแก้ไขปัญหาในระดับโครงสร้างสังคมจาก “การปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์” ในเรื่องค่านิยมวัฒนธรรมพลเมือง จิตสำนึกต่อส่วนรวม นอกจากนี้ยังมีเรื่องต้องตระหนักคือ “ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ” ขณะที่เด็กเกิดกลับน้อยลงส่งผลให้วัยแรงงานลดลง ดังนั้น เด็กและเยาวชนที่เกิดใหม่ต้องได้รับการพัฒนาให้เป็นกำลังหลักของชาติสำหรับในส่วน “การบัญญัติศัพท์ภาษาไทยก็ไม่ทิ้ง” เพราะเป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ที่สำคัญของชาติจำเป็นต้องป้องกันรักษาไว้ แต่ด้วยภาษาเป็นสิ่งมีชีวิตกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามยุคและตามกระแสนิยม ทำให้เราก็ต้องพยายามรักษาให้ภาษาไทยอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ และขอบเขตมาตรฐานไม่ให้เบี่ยงเบนมากเกินไป โดยเฉพาะปัจจุบันมักมีคำใหม่ๆ “ไม่ว่าจะมาจากภาษาต่างประเทศ ศัพท์ทางดิจิทัล หรือศัพท์ในวงการแพทย์” สิ่งเหล่านี้ราชบัณฑิตยสภาก็พยายามบัญญัติศัพท์ใหม่ให้ทันต่อการใช้งาน และเปิดโอกาสให้สังคมนำไปลองใช้กันอยู่เสมอเพื่อให้เกิดความเหมาะสมเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ดังนั้นเรื่องบัญญัติคำศัพท์ไม่ต้องกังวลใดๆแม้บางครั้งเห็นตามสื่อว่า “ศัพท์บางคำดูแปลกไม่เข้าท่าหรือฟังไม่คุ้นไม่ใช่เรื่องใหญ่” เพราะหลักการบัญญัติศัพท์ใหม่ “ที่สุดแล้ว ต้องขึ้นอยู่กับการยอมรับของประชาชน” ถ้าคำนั้นฟังเข้าใจง่ายใช้แพร่หลายก็อาจกลายเป็นคำที่ใช้จริงในสังคมได้ ดังนั้นคำใหม่ที่บัญญัติขึ้นมาไม่ได้ตายตัวมักขึ้นอยู่กับว่าสังคมจะเลือกใช้หรือไม่ในทางกลับกันราชบัณฑิตยสภา “บัญญัติศัพท์ยากไม่สอดรับใช้งาน” ประชาชนไม่หยิบใช้ก็ค่อยๆเลือนหายอย่าง “คอมพิวเตอร์เดิมบัญญัติว่าคณิตกรณ์” แต่ไม่ติดตลาดก็ต้องกลับมาใช้คอมพิวเตอร์เหมือนเดิมย้ำว่าเด็กยุคใหม่สร้างคำศัพท์ขึ้นใหม่เยอะมาก ทั้งแบบการพูด และการใช้บนโซเชียล ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของภาษาที่เปลี่ยนตามยุคสมัย “เราไม่ได้ปฏิเสธสิ่งใหม่” แต่ต้องดูว่าการใช้ภาษานั้นเหมาะสมอยู่ในขอบเขตหรือไม่ เพราะหากปล่อยให้ภาษาถูกนำมาใช้เบี่ยงเบนจากมาตรฐานอาจส่งผลให้ภาษาไทยเสื่อมสภาพในอนาคตได้เรื่องนี้จึงเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะร่วมกันดูแลรักษา “ด้วยภาษาคืออัตลักษณ์สำคัญของชาติ” แต่อย่างไรก็ดี ราชบัณฑิตยสภายังต้องพิจารณาคำศัพท์ใหม่จากกลุ่มคนรุ่นใหม่ด้วย “หากคำใดได้รับความนิยม และสังคมให้การยอมรับ” ก็อาจจะนำมาปรับหรือบัญญัติให้ใช้ได้ในระดับทางการต่อไปนี่คือบทบาทสำคัญของ “ราชบัณฑิตยสภา” ในฐานะเสาหลักทางวิชาการของชาติทำหน้าที่บัญญัติศัพท์ และชำระพจนานุกรมมาตลอดกว่า 100 ปี พร้อมเดินหน้าปรับตัวก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาธำรงรักษาภาษาไทยให้ก้าวทันยุคสมัยโดยไม่ละทิ้งอัตลักษณ์ของชาติ...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม