เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา “สำนักข่าวชายขอบ” (www.trans bordernews.in.th) รายงานว่า สำนักข่าวพม่าอิรวดี (The Irrawaddy) นำเสนอคลิปวิดีโอข่าวเกี่ยวกับสถาน การณ์ในเขตปางวา รัฐคะฉิ่น (พม่าตอนเหนือ ติดชายแดนจีน)...มีการขยายการทำเหมือง “แร่หายาก” หรือ “แรร์เอิร์ธ (rare earth elements)” เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยอ้างอิงคำสัมภาษณ์ของชาวบ้านในพื้นที่และผู้ที่ทำงานอยู่ในเหมืองบางรายอ้างอิงแหล่งข่าวในพื้นที่ซึ่งบอกว่า เขตปางวาอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังเอกราชคะฉิ่น โดยมีการขยายเหมืองใหม่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันเหมืองเก่าที่ยุติการดำเนินการไปก็ได้กลับมาดำเนินการตามปกติแล้ว โดยคำว่า “เหมืองใหม่” คือการเริ่มต้นทำเหมืองจากการขุดภูเขาและนำน้ำมาเติม เพื่อชะแร่ สำนักข่าวอิรวดีระบุว่า พื้นที่ปางวา เป็นแหล่งเหมืองแร่แรร์เอิร์ธใกล้ชายแดนจีน โดยในปี 2024 พื้นที่นี้อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) ซึ่งอยู่ภายใต้กองทัพพม่า ต่อมาใน 15 ตุลาคม 2024 กองกำลังคะฉิ่น KIA และพันธมิตรก็ได้โจมตีและเข้ายึดครองพื้นที่ดังกล่าวไว้ได้ซึ่งในช่วงที่กองกำลัง KIA เปิดการโจมตีในเขตปางวา เหมืองแร่แรร์เอิร์ธในพื้นที่ต้องหยุดดำเนินการลงชั่วคราว แต่หลังจากนั้นไม่นานก็สามารถกลับมาดำเนินการขุดแร่แรร์เอิร์ธได้อีกครั้งพ.ท.นอว์บู โฆษกกองกำลังคะฉิ่น KIA ยืนยันว่า กองกำลัง KIA ยังไม่ได้ออกใบอนุญาตใหม่สำหรับการทำเหมืองในเขตปางวาแต่อย่างใด ดังนั้นการเปิดเหมืองใหม่จึงยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ สำนักข่าวอิรวดีรายงานด้วยว่า ข้อมูลขององค์กรด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิทธิมนุษยชน Global Witness ระบุว่าในรัฐคะฉิ่น ณ เดือนมีนาคม 2022 มีเหมืองแร่แรร์เอิร์ธกว่า 300 แห่ง มีบ่อชะล้างแร่ (leaching pools) ราว 2,700 บ่อ ต่อมาหลังรัฐประหารในพม่า ในปี 2024 มีรายงานว่าพื้นที่เหมืองแรร์เอิร์ธ เพิ่มกว่า 40% ในขณะที่ข้อมูลของนักวิจัยระบุว่า ปลายปี 2024 มีเหมืองแร่แรร์เอิร์ธเพิ่มมากกว่า 400 แห่ง...มีบ่อชะล้างแร่มากกว่า 5,000 บ่อประเด็นสำคัญมีว่า...มีรายงานว่าขณะนี้เหมืองแร่แรร์เอิร์ธได้ขยายไปยังเขตรัฐฉาน (ติดชายแดน จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย) ในเขตอิทธิพลของกองกำลังว้า (UWSA) และกองกำลังเมืองลา NDAA อีกด้วย...อีกทั้งในคลิปที่สำนักข่าวอิรวดีนำเสนอ มีภาพของเหมืองแร่แรร์เอิร์ธบนภูเขาในรัฐคะฉิ่น...ที่มีท่อสารเคมีและบ่อละลายแร่บนภูเขา โดยมีสายไฟที่เชื่อมกับเครื่องปั่นไฟ และอาคารลักษณะบ้านพักคนงานที่อยู่ติดกับบ่อแร่ มีคนงานลงไปล้างแร่ที่ก้นบ่อโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันใดๆ ในขณะที่ข้างบ่อมีกระสอบที่มีอักษรภาษาจีนประทับอยู่ พุ่งเป้าไปที่ประเด็น “มลพิษข้ามพรมแดน” จากเหมืองแร่ผิดกฎหมายในรัฐฉาน พม่า กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่คุกคามสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของประชาชนในภาคเหนือของไทยอย่างน่าเป็นห่วง“แม่น้ำสาย” และ “แม่น้ำกก”...เส้นทางมลพิษจากพม่าสู่ไทยในประเทศไทยมีการพูดถึงอย่างกว้างขวางถึงปัญหามลพิษในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก ซึ่งมีต้นกำเนิดจากฝั่งพม่า นายวินเมียวตู นักวิชาการชาวพม่าจากมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ชี้ให้เห็นว่า สาเหตุของปัญหานี้อาจมาจากเหมืองแร่ผิดกฎหมายที่ดำเนินการในพื้นที่ควบคุมของกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธต่างๆ ในรัฐฉาน โดยเฉพาะเหมืองแร่แรร์เอิร์ธเขตเมืองสาด ซึ่งเป็นพื้นที่อิทธิพลของกองกำลังว้า (UWSA) และกลุ่มอื่นๆตามแผนที่ที่นายวินเมียวตูศึกษาพบว่า น้ำเสียจากเหมืองแร่เหล่านี้ไหลลงสู่ลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขง โดยพื้นที่ที่มีการทำเหมืองทองคำและแมกนีเซียม ก็มีความเป็นไปได้ว่า สารหนู (Arsenic) ที่ตรวจพบในแม่น้ำสายทางฝั่งไทยจะมีต้นตอมาจากเหมืองเหล่านั้นเช่นกันนอกจากนี้ “แม่น้ำกก” มีต้นกำเนิดในเขตเมืองสาด...ไหลผ่านพื้นที่ควบคุมของกลุ่มติดอาวุธก่อนเข้าสู่ไทยก็มีเหมืองตั้งอยู่หลายแห่งเช่นกัน สิ่งที่น่ากังวลคือเหมืองเหล่านี้ส่วนใหญ่ดำเนินการโดย “บริษัทจีน” ที่ไม่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายและไม่ได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมใดๆนายวินเมียวตูชี้ว่า แม้จีนจะแสดงท่าทีบนเวทีระหว่างประเทศอย่างการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ว่าจะเคารพอธิปไตยและดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ (ESG) แต่ในทางปฏิบัติบริษัทจีนจำนวนมากกลับเข้าไปขุดเหมืองผิดกฎหมายในพม่า...ขายสินแร่ให้กับรัฐวิสาหกิจจีนโดยตรงนี่จึงเป็นความย้อนแย้งอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่จีนพูดในเวที SCO ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ทำจริง?วิน เมียวตูย้ำว่า ความร่วมมืออย่างกรอบความร่วมมือแม่น้ำล้านช้าง—แม่น้ำโขง (LMC) จะมีความหมายก็ต่อเมื่อสามารถจัดการกับปัญหา “มลพิษข้ามพรมแดน” จาก “เหมืองผิดกฎหมาย” ได้อย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นก็เป็นเพียงคำพูดสวยหรูที่ไม่ได้สะท้อนการกระทำเพียรพร ดีเทศน์ เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขาและ International Rivers มองว่า ไม่น่าเชื่อว่าในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน นักลงทุนเหล่านี้สามารถขยายพื้นที่เหมืองได้อย่างรวดเร็ว เพราะไม่ใช่แผ่นดินของพวกเขา ไม่ต้องคำนึงถึงการจัดการสิ่งแวดล้อมใดๆ“ไม่คิดว่ามีประชาชนนับล้านๆคนที่ใช้น้ำที่ไหลออกไปจากเหมืองต้องปนเปื้อนด้วยเคมีรุนแรงเชื่อว่า...หากฝ่ายความมั่นคงของไทยมีมาตรการจากเบาไปหาหนัก ฝั่งกองกำลังในรัฐฉานย่อมเกรงใจอยู่บ้าง”ปัญหามลพิษจาก “เหมืองแร่นอกกฎหมาย” ในรัฐฉานกำลังขยายวงเป็นประเด็นข้ามพรมแดนในระดับภูมิภาคลุ่มน้ำโขงแล้ว การประชุมกรอบความร่วมมือแม่น้ำล้านช้างแม่น้ำโขง ซึ่งนำโดยจีนที่ประเทศไทยปลายปีนี้ จำเป็นต้องนำวาระนี้เข้าหารือเป็นการเร่งด่วนเพื่อหา “ทางออก” ก่อนที่ทุกอย่างจะ “สาย” เกินไป.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม