สัญญาณอันตรายทางเศรษฐกิจปรากฏออกมาให้เห็นเรื่อยๆ เจ้าของธุรกิจ พนักงานลูกจ้าง ต่างโอดครวญเศรษฐกิจซบเซา ค้าขายฝืดเคือง รายได้ไม่พอกับรายจ่าย รัฐบาลพรรคเพื่อไทยบริหารประเทศมา 2 ปี กลับไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจให้คึกคักได้ ล้วงกระเป๋าไม่เจอเงิน มีแต่ใบแจ้งหนี้ ล่าสุดสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ออกมาเตือนปัญหาหนี้ครัวเรือนคือระเบิดเวลาของเศรษฐกิจไทยคุณดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ แถลงรายงานภาวะสังคมไตรมาส 2/2568 ว่า สังคมไทยยังคงเผชิญแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือน ที่แม้ปรับลดเล็กน้อย แต่โครงสร้างการก่อหนี้กลับน่ากังวลยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการหันไปพึ่งพาเงินกู้นอกระบบผ่านแอปพลิชันออนไลน์ และการใช้บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง หรือ Buy Now Pay Later (BNPL) ที่กำลังแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่การกู้ยืมผ่านสหกรณ์ออมทรัพย์มีสัดส่วนสูงถึง 15% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด แต่ไม่ได้ถูกบันทึกในระบบเครดิตบูโร จึงเป็นปัญหาที่ แก้ไขยากขึ้นในเชิงโครงสร้าง ส่งผลให้การประเมินหนี้ครัวเรือนต่ำกว่าความเป็นจริง และอาจปิดบังความเสี่ยงในระบบการเงินหนี้ครัวเรือนในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 16.35 ล้านล้านบาท หดตัวลงเล็กน้อย 0.1% แต่การชะลอตัวนี้ไม่ได้สะท้อนถึงความแข็งแรงทางการเงินของครัวเรือน เพราะคุณภาพสินเชื่อยังมีปัญหา หนี้เสียในสินเชื่อรถยนต์และบัตรเครดิตยังขยายตัวต่อเนื่อง สัญญาณความเปราะบางปรากฏชัดทั้งการก่อหนี้นอกระบบที่เข้าถึงได้ง่ายผ่านโซเชียลมีเดียและแอปฯเงินกู้ รวมถึงบริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง BNPL ที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคก่อหนี้เกินตัว อาจนำไปสู่ภาวะหนี้เสีย(BNPL คือการซื้อสินค้ามาก่อนแล้วแบ่งชำระเป็นงวด เป็นสินเชื่อระยะสั้นประเภทไม่มีหลักประกัน ส่วนมากไม่คิดดอกเบี้ย หรือคิดดอกถูกมาก แต่ถ้าผิดนัดชำระเมื่อไหร่ จะโดนดอกเบี้ยมหาโหด และแพลตฟอร์มขายสินค้าก็ไม่มีการประเมินเครดิตของลูกค้า มีการประเมินว่า ตลาด BNPL ในประเทศไทยในปี 2571 จะมีมูลค่าสูงถึง 5.5 แสนล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 16 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2564 ที่น่าห่วงคือกลุ่มคนเจน Z ที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน ใช้บริการ BNPL มากกว่าครึ่ง และกว่า 1 ใน 3 จะซื้อเสื้อผ้า เครื่องประดับ บ่งชี้พฤติกรรมเสี่ยงก่อหนี้เกินตัว)คุณดนุชาเตือนด้วยว่า หนี้ครัวเรือนเป็นเหมือนระเบิดเวลาตัวหนึ่ง การแก้ปัญหามีความซับซ้อนแล้วแก้ยากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะแพลตฟอร์มที่ให้ไปทานอาหารและเติมน้ำมันแล้วค่อยจ่ายทีหลัง ผ่อนชำระได้ ตรงนี้เป็นปัญหาที่ต้องดูแลอย่างจริงจัง ถ้าปล่อยไว้มีแนวโน้มจะเป็นปัญหารุนแรงนอกจากนี้หนี้ครัวเรือนที่เป็นระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจ หนี้ทางธุรกิจ ก็มีสัญญาณน่าเป็นห่วงเช่นกัน คุณธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ได้วิเคราะห์คุณภาพหนี้ธุรกิจในอนาคต แม้ภาพรวมหนี้ของธนาคารพาณิชย์ 9 แห่ง มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ขยับสูงขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อเอาข้อมูลของบริษัทปล่อยสินเชื่อที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) มารวมด้วย พบว่า หนี้ที่เริ่มมีปัญหา (เอ็นพีแอล+หนี้ที่จับตาเป็นพิเศษค้างหนี้ 31–90 วัน) ในไตรมาสแรกปีนี้อยู่ที่ 5.03% สูงกว่าช่วงโควิดที่อยู่ที่ 4.39% และยังเห็นหนี้ที่เริ่มค้างชำระ 31–90 วันเพิ่มสูงขึ้นคุณธัญญลักษณ์กล่าวด้วยว่า ลูกค้าธุรกิจยิ่งมีขนาดเล็กยิ่งมีปัญหาหนี้เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น โดยในกลุ่ม Super Micro หรือธุรกิจเล็กจิ๋ว เอ็นพีแอลมีสัดส่วน 14.81% ของสินเชื่อรวม กลุ่ม Micro หรือกลุ่มธุรกิจจิ๋ว มีสัดส่วน 12.11% กลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก 9.75% กลุ่มธุรกิจขนาดกลาง 6.51% และกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ 1.37% หากไม่มีมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ที่ตรงกับความต้องการของลูกหนี้เพิ่มเติม มีโอกาสจะเห็นลูกหนี้ธุรกิจเล็กจิ๋วไปจนถึงกลุ่มกลางเล็กกลายเป็นหนี้เสียมากขึ้นและล้มหายตายจากเพิ่มขึ้นตัวเลขเหล่านี้มาจากฐานข้อมูลช่วงที่ยังไม่มีภาษีทรัมป์ 19% แต่ตอนนี้ภาษีทรัมป์มีผลแล้ว ภาคเอกชนตั้งตารอเมื่อไหร่รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเสียที.ลมกรดคลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม