ที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน (กพฉ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบหลักการให้ สพฉ.กำหนดและเรียกเก็บค่าบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินและค่าดำเนินกิจการของสถาบันฯ เนื่องจากงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด ประกอบกับแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เดินทางเข้าประเทศปีละ 35.5 ล้านคน พบสถิตินักท่องเที่ยวประสบอุบัติเหตุและชีวิตเฉลี่ยปีละ 616 คน บาดเจ็บ 28,463 คน โดยจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวเกิดอุบัติเหตุ และเสียชีวิตเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้แก่ จ.ภูเก็ต กรุงเทพฯ เชียงใหม่ จึงได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาทำหน้าที่ศึกษาและยกระดับการแพทย์ฉุกเฉินให้ครอบคลุมการท่องเที่ยวให้มีความปลอดภัย โดยไม่พึ่งพางบฯเพียงอย่างเดียว เช่น การประกันภัย นักท่องเที่ยว การประกันชีวิต การประกันอุบัติเหตุ การประกันวินาศภัย กองทุนต่างๆของรัฐ รายได้นี้ จะนำไปลงทุน 4 เรื่อง คือ 1.กำหนดอัตราค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉินทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ 2.การขยายหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินให้ครอบคลุมทุกตำบลทั่วประเทศ 3.การพัฒนาระบบให้ทันสมัยเชื่อมโยงเครือข่าย 4. ยกระดับมาตรฐานการฝึกอบรมและสนับสนุนทรัพยากรให้หน่วยปฏิบัติงาน ตั้งเป้าหมาย ภายใน 3 ปี ประชาชนและนักท่องเที่ยวต้องเข้าถึงบริการการแพทย์ฉุกเฉินได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 มีหน่วยปฏิบัติการครอบคลุมทุกตำบลทั่วประเทศด้าน ดร.พิเชษฐ์ หนองช้าง เลขาธิการ สพฉ. กล่าวว่า ตาม พ.ร.บ.การแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ.2551 ให้อำนาจ กพฉ.ในการกำหนดอัตราค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉิน และให้ สพฉ.เรียกเก็บ หลังจากนี้ สพฉ. จะทำการ ศึกษาเรื่องต้นทุน ค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉินทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และนำเข้าบอร์ด กพฉ. เพื่ออนุมัติและประกาศอัตราค่าบริการก่อน ทั้งนี้ สพฉ.จะไม่เรียกเก็บตรงไปที่ประชาชน แต่จะเจรจากับกองทุนต่างๆที่ประชาชนมีสิทธิประโยชน์อยู่ จากนั้นจะเจรจาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการประกันภัยประเภทต่างๆ รวมทั้งเรื่องอัตราค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉินของนักท่องเที่ยว คาดว่าโดยรวมแล้วจะใช้เวลา 5-6 เดือน แล้วนำเสนอบอร์ด กพฉ.ให้ความเห็นชอบต่อไป.