กระทรวงบัวแก้วพร้อมลุย เดินสายประท้วง กัมพูชา เพื่อสื่อสารต่อประชาคมโลก รวมถึงบุกเจนีวา หารือกับประเทศที่มีบทบาทสำคัญ ในประเด็นทุ่นระเบิด หลังได้หลักฐานเด็ด ทหารกัมพูชาล้ำแดนไทย เข้ามาวางทุ่นระเบิดต่อเนื่อง หวังเรียกร้องความร่วมมือในการเก็บกู้ระเบิดบริเวณชายแดน ขณะที่ชาวบ้าน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เจออีกหลุม คาดเป็นจรวด BM-21 ของกัมพูชาตกใส่ใกล้ศูนย์เด็กเล็ก โดยเป็นพื้นที่กระสุนตกทำบ้านพังรวม 27 หลัง ด้าน ทบ.แจ้งข่าวเศร้า สูญเสียกำลังพลอีก 1 นาย ที่ปราสาทตาเมือนธมหลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่มีข้อตกลงหยุดยิงตั้งแต่หลังเที่ยงคืนวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาปัจจุบันยังตึงเครียด เมื่อกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงทั้งรุกล้ำแดนไทยเข้ามาลอบวางทุ่นระเบิดสังหาร รวมถึงออกข่าวปลอมสร้างความสับสนอย่างต่อเนื่อง7 จังหวัดชายแดนยังปกติเมื่อช่วงเช้าวันที่ 24 ส.ค.นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) สรุปสถานการณ์ชายแดน 11 จุด ใน 7 จังหวัด ประกอบด้วย จ.อุบลราชธานี บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ สระแก้ว จันทบุรี และตราด เป็นปกติ กองทัพไทยยังคงตรึงกำลังและเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง โดยกองทัพภาคที่ 2 ตรวจพบความเคลื่อนไหวของกัมพูชาในบางพื้นที่ ขณะที่รัฐบาลยังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดย ศบ.ทก.รับรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ทหารกัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลงหยุดยิง GBC และลักลอบเข้ามาวางกับระเบิดในเขตอธิปไตยของไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เก็บหลักฐาน และเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิดออกจากพื้นที่แล้ว รัฐบาลจะติดตามความเคลื่อนไหวของกัมพูชาใกล้ชิด และพร้อมตอบโต้ทั้งทางการทูตและความมั่นคงอย่างเหมาะสม รวมถึงจะมีการชี้แจงให้ประชาคมระหว่างประเทศรับรู้ถึงการกระทำของกัมพูชา ที่ละเลยและละเมิดข้อตกลงทั้ง 3 ส่วนข้างต้นบัวแก้วลุยประท้วงกัมพูชาด้าน น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ ที่ปรึกษา รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่ากระทรวงการต่างประเทศยังคงเดินหน้าคุยสื่อต่างประเทศ เพื่อสื่อสารประชาคมโลกต่อเนื่อง แม้กัมพูชาจะเชิญประชุมทูตกว่า 40 ประเทศ แก้เกี้ยวจากที่โดนประณามเรื่องใช้ทุ่นระเบิดสังหารใหม่ และยังคงไม่จำนนต่อหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้ แค่เอ่ยจะร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิด พร้อมทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์กับไทย ล่าสุดกองทัพไทยตรวจพบทุ่นระเบิด PMN-2 บริเวณจุดที่พบทหารกัมพูชาดักซุ่ม เมื่อวันที่ 23 ส.ค. กระทรวงการต่างประเทศพร้อมเดินหน้าในเวทีโลกต่อไป กัมพูชาต้องถูกประณามเพราะละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และอนุสัญญาออตตาวาอย่างร้ายแรงซัดกัมพูชาไม่เคยให้ความร่วมมือน.ส.ชยิกากล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุปะทะ ไทยเรียกร้องให้เก็บกู้ทุ่นระเบิดเก่ามาตลอด ตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี จนถึงรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แต่ไม่เคยได้รับความร่วมมือใดๆจากกัมพูชา แต่ไทยก็จะประท้วงตามช่องทางและกฎหมายระหว่างประเทศ และติดตามการกระทำของกัมพูชาอย่างใกล้ชิดและเข้มข้นว่าจะปฏิบัติตามเรื่องการร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิดจริงหรือไม่ หรือเพียงพูดแก้เกมลดแรงกดดัน เพราะการกระทำมักดังกว่าคำพูดเสมอรมว.กต.ไปเจนีวาฟ้องโลกนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ระบุว่า หลังมีการตรวจพบกำลังทหารกัมพูชายังคงรุกล้ำอธิปไตย มีการวางทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 อีก 3 ทุ่น พร้อมอาวุธอื่นอีกจำนวนหนึ่ง บ่งชี้ชัดเจนอีกครั้งว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดอธิปไตยไทย พันธกรณีภายใต้อนุสัญญาออตตาวา และเงื่อนไขหลายข้อของข้อตกลงหยุดยิงจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทยจะรวบรวมหลักฐานทั้งหมดส่งให้คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวทราบถึงพฤติกรรมของฝ่ายกัมพูชาต่อไป ทั้งนี้ รมว.ต่างประเทศจะเดินทางเยือนนครเจนีวาสัปดาห์นี้ เพื่อหารือกับประเทศที่มีบทบาทสำคัญในประเด็นทุ่นระเบิด รวมถึงคณะกรรมการการปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาวา เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงการละเมิดอนุสัญญาฯของกัมพูชาหลายครั้ง รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดจะใช้โอกาสนี้ขอให้ประเทศต่างๆเรียกร้องให้กัมพูชาร่วมมือกับไทยเก็บกู้ระเบิดบริเวณชายแดน และในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯอย่างรับผิดชอบ“มาริษ” เตรียมคุยสวีเดนด้านนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ในโอกาสเดินทางเยือนราชอาณาจักรสวีเดนอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของนางมารีอา มัลเมอร์ สเตเนอร์การ์ด รมว.ต่างประเทศสวีเดน เพื่อเป็นสักขีพยานในการลงนามซื้อเครื่องบินรบ Grippen E/F ของกองทัพอากาศ กับบริษัท Saab ว่า จะใช้โอกาสนี้พูดคุยทำความเข้าใจสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชาด้วย เพราะสวีเดนเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ให้ความสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชนมาก เพื่อยืนยันว่ามาตรการต่างๆ ที่ประเทศไทยใช้ในการแก้ปัญหากัมพูชาตั้งแต่แรกเริ่ม มุ่งเน้นการเจรจาสองฝ่าย หรือทวิภาคี หลีกเลี่ยงการใช้กำลัง และแสดงความต้องการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาโดยสันติและจริงใจแจงไทยทำตามกฎยูเอ็นนายมาริษกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ได้เตรียมหลักฐานที่ไทยถูกกัมพูชาละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน ทำให้ต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ เพื่อให้เขาสบายใจว่าการปฏิบัติการทางทหารของไทยสอดคล้องกับนโยบายด้านการต่างประเทศ ไทยเป็นประเทศที่รักสันติ ทำทุกอย่างตามกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติ ตนมุ่งหน้าเดินสายเพื่อชี้แจงกับทุกประเทศว่า การใช้กำลังทางทหารของไทยได้สัดส่วนกับความเป็นจริง ไม่มีเป้าหมายทำลายล้าง ขณะที่กัมพูชาใช้อาวุธเพื่อโจมตีระยะไกลโจมตีเป้าหมายทางพลเรือน รวมถึงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ปฏิบัติการสงครามข่าวสารให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน ที่หลายประเทศยอมรับไม่ได้แฉกัมพูชาใช้ทุ่นระเบิดนายมาริษกล่าวด้วยว่า จากนั้นจะเดินทางไปเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 26 ส.ค. มีเป้าหมายหลักไปชี้แจงกับประเทศกลุ่มสัญญาอนุภาคีให้เข้าใจสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งกัมพูชาใช้ยุทธศาสตร์ของการใช้วัตถุระเบิดสังหารบุคคล ที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และอนุสัญญาออตตาวา และในโอกาสนี้จะพบกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทุ่นระเบิดสังหาร การละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยการโจมตีเป้าหมายพลเรือนของกัมพูชา รวมทั้งการใช้โซเชียลมีเดีย เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ออกมาพูดชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยอย่างมาก และไม่สนับสนุนให้มีการใช้สงครามข่าวสาร ในการต่อสู้ โดยใช้พลเรือนเป็นตัวกระทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน ในโอกาสนี้จะได้พบปะกับประธาน ICRC จะได้อธิบายทั้ง 2 ประการนี้ เพราะ ICRC เป็นองค์กรหลักที่ดูกฎหมายระหว่างประเทศและจากการดำเนินการที่ผ่านมา ทำให้ประชาคมโลกเข้าใจในความตั้งใจของรัฐบาลไทยว่าเราเป็นประเทศที่รักสันติ จะเห็นได้ว่าการปฏิบัติการทางทหาร ไม่ได้ถูกประเทศไหนตำหนิเลยยอมรับขั้นตอนเยียวยาซับซ้อนส่วนการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุโจมตีของทหารกัมพูชา น.ส.ชญาภา สินธุไพร รอง โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความคืบหน้าว่า สส.เพื่อไทยติดตามการช่วยเหลือเยียวยาอย่างใกล้ชิด ให้การช่วยเหลือถึงประชาชนอย่างรวดเร็ว เป็นธรรม ยอมรับว่าการเยียวยากรณีผลกระทบการปะทะชายแดนมีความซับซ้อนและรายละเอียดมากกว่าการประสบภัยพิบัติธรรมชาติ พรรคเพื่อไทยยืนยันจะช่วยประสานงานหน่วยงานราชการ ติดตามเรื่องให้ประชาชน ไม่ให้มีใครร่วงหล่นจากมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลทบ.สูญเสียกำลังพลอีก 1 นายต่อมาในเวลา 12.05 น. พ.ต.หญิง จุฑาพัชร เปรมบัญญัติ ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า กองทัพบกขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของพลทหารพิทยุตท์ โสดา กำลังพลสังกัดกองพันทหารราบที่ 21 หน่วยเฉพาะกิจที่ 2 เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อเวลา 18.15 น.ของวันที่ 23 ส.ค. พบร่างผู้เสียชีวิตภายในห้องสุขา บริเวณหน้าปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ สำหรับพลทหาร พิทยุตท์ โสดา อายุ 20 ปี เป็นทหารกองประจำการ รุ่นปี 1/67 จากการสมัครใจเข้ามารับราชการในโครงการพลทหารออนไลน์ ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง พลปืนเล็ก หมู่ปืนเล็กที่ 2 หมวดปืนเล็กที่ 1 สังกัด กองร้อยทหารราบที่ 211 กองพันทหารราบที่ 21 หน่วยเฉพาะกิจที่ 2 จากการตรวจสอบเบื้องต้นผู้เสียชีวิตไม่มีโรคประจำตัว ไม่มีประวัติเสพยาเสพติด ไม่มีภาวะความเครียด ไม่พบบาดแผล และไม่พบการทะเลาะวิวาท อยู่ระหว่างการตรวจสอบหาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียด รอผลชันสูตรพลิกศพจากตำรวจในพื้นที่มทภ.2 ย้ำดูแลครอบครัวเต็มที่กองทัพบกขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของพลทหารพิทยุตท์ โสดา และขอเชิดชูในความเสียสละของผู้ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องประเทศชาติในพื้นที่ชายแดนอย่างเต็มกำลังความสามารถ ทั้งนี้ กองทัพบกดำเนินการแจ้งให้ญาติทราบแล้ว และจะให้การดูแลช่วยเหลือครอบครัวของกำลังพลอย่างครบถ้วนเต็มที่ตามสิทธิและระเบียบที่ราชการกำหนด ขณะเดียวกัน พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้กล่าวแสดงความเสียใจกับครอบครัวพลทหารพิทยุตท์ และได้รับรายงานจากผู้บังคับบัญชาโดยตรงว่า การเสียชีวิตเกิดจากอาการเจ็บป่วยสะสมจากการปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยชายแดนไทย-กัมพูชา แม้ยังไม่มีเหตุปะทะเกิดขึ้น น้องพลทหารพิทยุตท์ยังคงทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถจนถึงวินาทีสุดท้าย สิทธิกำลังพลต่างๆ จะได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ เนื่องจากถือว่าเสียชีวิตขณะอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ชายแดนเคยรับมือ “โมนิก้า” หญิงกัมพูชาป่วนสำหรับพลทหารพิทยุตท์ โสดา ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง รักษาความสงบเรียบร้อย เช่น รับมือการป่วนของ นโรดม แพน โมนิก้า นักท่องเที่ยวหญิงชาวกัมพูชา หลานของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตพระมหากษัตริย์กัมพูชา ที่มาพร้อมทหารกัมพูชา เข้ามายืนชี้หน้าด่า ก่อความวุ่นวายบริเวณปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้เสียชีวิตเมื่อช่วงเย็นวันที่ 23 ส.ค.ภายในห้องน้ำบริเวณฐานปฏิบัติการปราสาทตาเมือนธม ด้วยอาการวูบจากโรคประจำตัว ซึ่งเพื่อนๆทหารระบุว่า พลทหารพิทยุตท์มีโรค ประจำตัว และเคยอาเจียนออกมาเป็นเลือดก่อนหน้านี้ ก่อนจะถูกนำตัวไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล และรับยามาทาน ซึ่งต้นสังกัดให้พักรักษาตัวก่อน แต่พลทหารพิทยุตท์ไม่ยอม บอกเป็นห่วงเพื่อนๆที่สถานการณ์ยังตึงเครียดอยู่ ขอมาปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิม ก่อนจะเกิดเหตุการณ์สลดดังกล่าวส่งร่างพลทหารน้อยถึงบ้านจากนั้นช่วงบ่าย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร่างของพลทหารพิทยุตท์ หรือน้อย โสดา อายุ 20 ปี ชาว อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ถูกส่งกลับบ้านเกิด โดยมีชาวบ้าน อสม.ยืนเข้าแถวรอรับพร้อมโบกธงไทยตลอดเส้นทางถนนในหมู่บ้าน และมีการนำร่างของพลทหารน้อยตั้งไว้ที่บ้านเลขที่ 45 หมู่ 7 ต.หนองกง อ.นางรอง ท่ามกลางความเศร้าเสียใจของครอบครัว โดยเฉพาะแม่ของพลทหารน้อย ที่เพิ่งเดินทางมาจากต่างจังหวัด ได้แต่ร่ำไห้ด้วยความเสียใจ ขณะที่นายพลวรรธน์ โสดา อายุ 43 ปี พ่อของพลทหารน้อย กล่าวว่า ลูกชายอยากเป็นทหาร จึงสมัครเข้าไปและเตรียมจะสอบเป็นนายสิบ ยอมรับเสียใจมากเพราะมีลูกชายคนเดียว และอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น ยังไม่เห็นลูกมีครอบครัว เสียใจที่ลูกจากไปเร็วเกินไป ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตหมอแจ้งว่าเกิดจากหัวใจล้มเหลวยายภูมิใจหลานเด็ดเดี่ยวด้านนางจัด ประสงทรัพย์ อายุ 70 ปี น้องสาวยายของพลทหารน้อย เปิดเผยว่า หลานเป็นคนอาภัพ พ่อแม่แยกทางกัน ไม่ได้เรียนหนังสือ อายุ 18 ปี สมัครเข้าไปทหารที่ค่าย ร.23 พัน.4 บุรีรัมย์ หวังจะได้เรียนหนังสือต่อ พอมีความตึงเครียดถูกส่งไปแนวชายแดนที่ จ.สุรินทร์ ตั้งแต่นั้นมายังไม่ได้กลับบ้าน ทราบว่าพักแล้วแต่ยังไม่ขอกลับ อยากอยู่เป็นเพื่อนทหารที่ชายแดน ตอนที่ไปโต้เถียงกับทหารกัมพูชายอมรับเป็นห่วง กลัวเขาจะทำร้าย แต่ดีใจที่หลานมีใจเด็ดเดี่ยวเจอหลุมจรวดไม่ไกลศูนย์เด็กเล็กส่วนที่ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านพบหลุมจรวด BM-21 ตกอยู่ริมสระน้ำห่างจากศูนย์เด็กเล็กของหมู่บ้าน ประมาณ 100 เมตร พื้นที่บ้านนาสามัคคี ต.ศรีวิเชียร ผู้นำชุมชนรายงานให้อำเภอทราบพร้อมประสานหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดของกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี และตำรวจตระเวนชายแดนเข้าเก็บกู้ในวันรุ่งขึ้น โดยนายบุญร่วม บุษบงค์ อายุ 60 ปี ผู้ที่พบคนแรกบอกว่า ออกมาหาปลาและขุดปูที่หนองน้ำดังกล่าว ระหว่างที่เดินหารูปู พบหลุมลักษณะคล้ายหลุมจรวด BM-21 ที่ตกในหมู่บ้าน จึงเรียกเพื่อนบ้านและผู้ใหญ่บ้านมาดู มั่นใจว่าเป็นหลุมจรวด BM-21 ขณะที่นายพีรพล บุญพจน์ ผู้ใหญ่บ้านบ้านนาสามัคคี ให้ข้อมูลว่าหลุมนี้หากเป็นจรวด BM-21 จะเป็นจุดที่ 9 ที่พบในชุมชน คาดถูกยิงมาตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค. พร้อมกับชุดที่ตกใส่บ้านเรือนประชาชน ที่ผ่านมายังไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เนื่องจากอพยพออกนอกพื้นที่ก่อน มีเพียงบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายทั้งหมด 27 หลังพบทหารกัมพูชาเคลื่อนไหวขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 แถลงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาประจำวันที่ 24 สิงหาคม 2568 เวลา 14.00 น.สถานการณ์โดยรวม ตรวจพบความเคลื่อนไหวทหารฝ่ายกัมพูชาในบางพื้นที่ ปัจจุบันกองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย ยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตนเอง ฝ่ายไทยจัดกำลังพลประจำจุดเฝ้าตรวจตามเหตุการณ์ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม และเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตอบโต้ตามสถานการณ์ ส่วนการดูแลผู้อพยพ สนับสนุนส่วนราชการทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน อำนวยความสะดวกจากพื้นที่เสี่ยงภัย ไปยังพื้นที่รวบรวมพลเรือน 8 ศูนย์ ในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี เพิ่มขึ้น 73 คน ปัจจุบันมียอด 437 คน ทั้งนี้ ทางฝ่ายปกครองได้จัดชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เข้าดูแลพื้นที่บ้านเรือนของพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่องคืบหน้าประชุม RBC วงเล็กขณะเดียวกัน มีความเคลื่อนไหวจากกัมพูชา โดยพลโท มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา แถลงถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค หรือ RBC สมัยวิสามัญ ที่ จ.ไพลิน ประเทศกัมพูชา ระหว่างกองทหารภูมิภาคที่ 5 ของกัมพูชาและคณะกองเลขานุการฯไทย นำโดยนาวาเอกอุดม กุลศิริปัญโญ เสนาธิการกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด โดยการหารือมีความคืบหน้า ทั้งสองฝ่ายพูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับข้อตกลงความร่วมมือและการแก้ไขปัญหาตามแนวชายแดนที่จะมีการหารือสมัยวิสามัญ ในวันที่ 25 ส.ค.นี้ รวมถึงเรียกร้องให้ทางการไทยปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18นาย ที่ถูกควบคุมตัวกลับคืนสู่บ้านเกิดด้วยทร.จัดลอยอังคารเหยื่อจรวดกัมพูชาส่วนที่ท่าเทียบเรือกลางอ่าว กองเรือยุทธการ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เมื่อเวลา 09.09 น. วันที่ 24 ส.ค.พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ มอบหมายให้พลเรือตรี บรรณวิตร์ เฉลิมทอง ผู้ทรง คุณวุฒิกองทัพเรือ ช่วยปฏิบัติราช การ กองเรือยุทธการ พร้อมด้วยนาวาเอก พรภิรมย์ ยศบุญ ผู้อำนวยการกองกิจการพลเรือน กองเรือยุทธการ นาวาเอก ก้องหล้า ตุ้มภู่ ผู้บังคับการ กองสนับสนุน กองเรือยุทธการ และคณะนายทหาร ร่วมอำนวยการจัดเรือ กร.72 สนับ สนุนครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา มีการยิงจรวดจากฝั่งกัมพูชา เข้ามาตกในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก เมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา ในการประกอบพิธีลอยอังคารผู้วายชนม์สู่ท้องนทีอ่าวสัตหีบ เพื่อส่งดวงวิญญาณสู่สรวงสวรรค์ โดยมีครอบครัวและญาติมิตรจำนวนมากของ 5 ครอบครัวผู้วายชนม์ รวม 7 ชีวิต ประกอบด้วย ครอบครัวประชัน ที่สูญเสีย น.ส.รุ่งรัศ อายุ 40 ปี ด.ญ.ทักษพร อายุ 14 ปี และ ด.ช.พงศภัค อายุ 8 ขวบ ครอบครัว ด.ช.กิตติศักดิ์ คำวัง อายุ 9 ขวบ ครอบครัวนางอรุณรัตน์ วันศรี อายุ 60 ปี ครอบครัวนายสมศรี ลาภบุญ อายุ 59 ปี และครอบครัว น.ส.สาวิตรี อ่อนทรวง อายุ 18 ปี เดินทางมาร่วมในพิธีท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจโพลชี้ชายแดนยังไม่ปกติวันเดียวกัน นิด้าโพลเปิดเผยผลการสำรวจประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ รวม 1,310 หน่วยตัวอย่าง เรื่อง “สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาเหตุการณ์ปกติ!” ระหว่างวันที่ 18-19 ส.ค.2568 พบว่า ร้อยละ 44.96 ระบุว่า เหตุการณ์ไม่ปกติเลยและน่ากังวล รองลงมา ร้อยละ 29.16 ระบุว่า เหตุการณ์ปกติ แต่ยังไม่น่าไว้วางใจ ร้อยละ 23.74 ระบุว่า เหตุการณ์ยังคงไม่ปกติเท่าไรนัก และร้อยละ 2.14 ระบุว่า เหตุการณ์ปกติจริง ไม่มีอะไรน่ากังวล ด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับการแทรกแซงของประเทศมหาอำนาจ ร้อยละ 64.73 ระบุว่า ประเทศมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซง เพราะต้องการผลประโยชน์ รองลงมา ร้อยละ 17.10 ระบุว่า ไทยควรปฏิเสธการเข้ามาแทรกแซงของประเทศมหาอำนาจ ร้อยละ 8.85 ระบุว่า ประเทศมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซง เพราะต้องการให้เกิดสันติภาพจริงๆ ร้อยละ 6.11 ระบุว่า ไม่เชื่อว่าประเทศมหาอำนาจจะเข้ามาแทรกแซงอย่างจริงจัง และร้อยละ 3.21 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่ไม่ควรคบ เมื่อถามถึงความคิดเห็นต่อประเทศกัมพูชาในฐานะเพื่อนบ้านของไทยจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ในขณะนี้ ร้อยละ 54.12 ระบุว่า เป็นเพื่อนบ้านที่ไม่ควรคบด้วย รองลงมา ร้อยละ 29.39 ระบุว่า เป็นเพื่อนบ้านที่คบกันได้ แต่ไม่ควรไว้วางใจ ร้อยละ 14.20 ระบุว่า เป็นฝั่งตรงข้าม ร้อยละ 1.91 ระบุว่า ยังคงเป็นเพื่อนบ้านที่คบกันได้เหมือนเดิม และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจภูมิใจในการเสียสละของทหารส่วนซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง ความภาคภูมิใจ ความสุขของคนไทย จากกลุ่มตัวอย่างทุกสาขาอาชีพ 1,093 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 20-23 ส.ค.2568 พบว่า ความภูมิใจของคนไทย ข้อที่ได้รับการเห็นพ้องสูงสุดคือ ความกล้าหาญ เสียสละของทหาร นักรบไทย ปกป้องแผ่นดินและอธิปไตยของไทย ร้อยละ 92.6 รองลงมาเป็นไทยรักษาเอกราชของชาติ ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นจนถึงปัจจุบัน ร้อยละ 85.8 ตามด้วยความสามัคคีของคนไทยเมื่อเกิดวิกฤติ ร้อยละ 82.9 และประเทศไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่ารักสงบมีอารยะ มีความเจริญ ร้อยละ 81.5 ส่วนเยาวชนได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และความกล้าหาญของบรรพบุรุษไทย อยู่ที่ร้อยละ 79.3คนชื่นชอบ “มทภ.2–ผู้กองอะตอม”เมื่อถามความรู้สึกชื่นชอบต่อทหารชายแดนไทย-กัมพูชา สะท้อนการยอมรับตัวบุคคล อันดับแรก พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ร้อยละ 64.5 รองลงมาร้อยเอกหญิง ปวิชญา วลีสุขสันต์ หรือผู้กองอะตอม ร้อยละ 63.8 ถัดมาเป็นนักบินรบ ฝูงบิน F-16 และกริพเพน ร้อยละ 61.7 นักรบชุดดำ-ตชด. ร้อยละ 58.9 และกลุ่มอาสาสมัครร้อยละ 55.3 เมื่อถามถึงความภูมิใจต่อกองทัพไทย ร้อยละ 91.7 ระบุภูมิใจมากถึงมากที่สุด ขณะที่ร้อยละ 5.4 อยู่ระดับปานกลาง มีเพียงร้อยละ 2.9 ระบุน้อยถึงไม่ภูมิใจเลยอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่