วงคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) จาก 8 ชาติอาเซียน หวิดวุ่น ขณะดูจุดได้รับผลกระทบจากการโจมตีของกัมพูชา ที่ช่องอานม้า เจอทหารกัมพูชาเข้ามาป่วนโวยวายลั่น อ้างสารพัด มาไม่แจ้ง พาคนมาเยอะเกิน ส่วนที่ฐานกฤษณา-ภูมะเขือ เพิ่งเก็บกู้ทุ่นระเบิดได้อีกลูกก่อนคณะฯ มาเยือนแค่วันเดียว พบสภาพใหม่ ล่าสุด นปท.ทร.เจอหลักฐานเด็ด ทั้งคลิปและภาพในมือถือที่ทิ้งอยู่พื้นที่ฐานเหนือเมฆ ภูมะเขือ ระบุวันที่ถ่ายชัด ทหารกัมพูชากำลังลอบวางทุ่นระเบิด ขณะที่ “ฮุน เซน” ปรี๊ดแตก หลังรัฐบาลไทยสั่งดำเนินคดีทั้งอาญาและแพ่ง ลั่นขู่จับผู้นำไทยบ้าง ด้านเลขาฯกฤษฎีกา ช่วยชี้ช่องเอาผิดทางแพ่ง ตามยึดทรัพย์สินในไทยมาชดใช้ให้ประชาชนที่เสียหายได้ ขณะเดียวกัน ทภ.2 ยังตรึงกำลังประจำจุดตามแนวชายแดน หลังพบฝั่งกัมพูชามีความเคลื่อน ไหว สอดคล้องกับฝ่ายความมั่นคงพบโดรนแปลกปลอมเพิ่มขึ้นมากจนผิดปกติวันที่สองของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) จำนวน 8 ประเทศสมาชิกอาเซียน เดินทางดูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีของกัมพูชาใน 3 จังหวัด เมื่อช่วงวันที่ 24-28 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และสุรินทร์ รวมถึงรับฟังข้อมูลการละเมิดข้อตกลงการหยุดยิงของกัมพูชา จากกองทัพไทย ผ่านไปเป็นที่เรียบร้อยทหารกัมพูชาโผล่ป่วนคณะ IOTทั้งนี้ การเดินทางไปดูความเสียหายจากการปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) จำนวน 14 นาย จาก 8 ประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ บรูไน มาเลเซีย ลาว อินโดนีเซีย เมียนมา สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยมีพลตรี ซัมซุล ริซัล บิน มูซา ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย เป็นหัวหน้าคณะ เมื่อวันที่ 19 ส.ค. เริ่มต้นที่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี จุดที่กัมพูชาเข้ามารุกล้ำและตัดลวดหนาม โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่คณะเดินทางมาถึงมีทหารกัมพูชานายหนึ่งได้ออกมาส่งเสียงดังโวยวาย ไม่ยอมให้ทหารไทยพาคณะฯเข้าพื้นที่ ทหารฝ่ายไทยจึงเข้าไปเจรจาบอกว่าได้แจ้งไปแล้วว่าจะมีคณะผู้สังเกตการณ์มาลงพื้นที่เหมือนที่กัมพูชาเคยพาคณะทูตมาก่อนหน้านี้ แต่ทางกัมพูชาอ้างว่ามาเยอะเกินไป จะให้แค่เพียงคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวเข้าไปบริเวณอนุสาวรีย์ตาอมเท่านั้น ส่วนผู้สื่อข่าวและเจ้าหน้าที่ให้อยู่บริเวณร้านค้า โดยทหารกัมพูชาคนดังกล่าวยังเอาแต่อ้างถึงอธิปไตยของกัมพูชาตลอดเวลา รวมถึงพยายามสร้างสถานการณ์เพื่อดึงความสนใจจากคณะผู้สังเกตการณ์ แต่คณะให้ความสำคัญกับการตรวจสอบพื้นที่และรับฟังบรรยายสรุปจากฝ่ายไทยเป็นหลักกัมพูชาปรับศูนย์อพยพเป็นบ่อนสำหรับจุดนี้ คณะ IOT ใช้เวลาอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง ในการตรวจเยี่ยมพื้นที่ พบว่าร้านค้าบริเวณโดยรอบได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์สู้รบในอดีต ทั้งจากการระเบิดและเพลิงไหม้ ขณะที่อนุสาวรีย์ตาอมยังคงเป็นจุดสำคัญของการตรวจสอบ นอกจากนี้ ฝ่ายไทยได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า พื้นที่ฝั่งกัมพูชาเคยใช้เป็นศูนย์อพยพของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ก่อนจะปรับเปลี่ยนเป็นสถานประกอบการกาสิโนในปัจจุบัน สำหรับ ช่องอานม้า นับเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่เคยเกิดการสู้รบสำคัญระหว่างไทยและกัมพูชา โดยปัจจุบันทั้งสองฝ่ายได้จัดกำลังทหารตรึงพื้นที่โดยปราศจากอาวุธ ตามข้อตกลงหยุดยิงที่มีผลบังคับใช้อยู่ในขณะนี้พาดูจุดทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดจากนั้นในช่วงบ่าย คณะฯเดินทางไปยัง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อดูความเสียหายจากการปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาที่บริเวณผามออีแดง อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร เพื่อตรวจสอบและติดตามสภาพการวางกำลังของทหารกัมพูชาในพื้นที่ดังกล่าว และเยี่ยมฐานกฤษณา-ฐานปราบศึก ในบริเวณภูมะเขือ พร้อมรับชมการปฏิบัติงานของหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 2 โดยที่ฐานกฤษณา ตัวแทนทหารไทยได้พาคณะ IOT ไปดูพื้นที่จุดยุทธศาสตร์ พร้อมอธิบายพื้นที่ฐานกรณีการเหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ของทหารไทยเมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 3 นาย โดยยืนยันว่า จุดนี้เป็นพื้นที่ลาดตระเวนต่อเนื่องประจำ แต่กลับพบทุ่นระเบิดใหม่วางอยู่ในเส้นทางลาดตระเวนของทหารไทย ห่างจากฐานประมาณ 150 เมตร หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ยังเก็บกู้ทุ่นระเบิดได้เพิ่มอีก 1 ลูก ในรัศมีใกล้เคียงพบ PMN–2 อีกลูกก่อนคณะฯ มาจากนั้นตัวแทนทหารไทยได้พาคณะ IOT เดินไปดูจุดพบวัตถุระเบิด M203 ซึ่งเป็นลูกระเบิดขนาด 40 มม. เป็นระเบิดที่กัมพูชายิงมาในวันก่อนวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ก่อนการหยุดยิง แต่ระเบิดนี้ถูกเคลียร์ไปแล้วเพื่อความปลอดภัย และรอการเก็บกู้ รวมไปถึงยังได้ดูระเบิด PMN-2 ที่เก็บกู้ได้เมื่อวันที่ 18 ส.ค.อีก 1 ลูก โดยรวมทั้งหมดในพื้นที่นี้ พบทั้งหมด 3 ลูก ตัวแทนทหารไทยจึงย้ำว่า พื้นที่จุดนี้ได้เคลียร์ระเบิดเก่าไปแล้ว 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นระเบิดที่พบเป็นระเบิดที่ถูกนำมาวางใหม่ และจากการสังเกตทุ่นระเบิดค่อนข้างอยู่ในสภาพใหม่ ทั้งนี้ ทหารไทยยืนยันว่าจุดนี้เป็นจุดที่ทหารไทยลาดตระเวนเป็นประจำ และไม่เคยเจอทุ่นระเบิดมาก่อน“ฮุน เซน” ฉุน ขู่จับผู้นำไทยส่วนกรณีรัฐบาลไทยจะฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งทางอาญาและแพ่งกับผู้นำกัมพูชาและผู้สั่งการโจมตีทางทหารต่อไทยนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังข่าวดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ปรากฏว่านายฮุน เซน ได้โพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ถึงกรณีดังกล่าวว่า นายกฯ รักษาการของไทยที่กำลังจะหมดวาระ ไม่รู้กฎเกณฑ์ใดๆ และไม่รู้เรื่องการทูต ถ้าทางการไทยจะจับผู้นำกัมพูชา กัมพูชาก็สามารถจับผู้นำไทยบางคนที่รุกรานและสังหารชาวกัมพูชาได้เหมือนกันอ้างบั่นทอนความไว้วางใจต่อกันขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชา ออกแถลงการณ์ตามมาอีก 4 ข้อแสดงความกังวลต่อกรณีนี้ว่าการดำเนินคดีทางกฎหมายของไทยต่อผู้นำกัมพูชาเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพของกัมพูชา และสร้างความเสียหายรุนแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ รวมทั้งเป็นการบั่นทอนความพยายามทั้งหมดในการรื้อฟื้นความไว้วางใจและความเชื่อมั่น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกันเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา“ภูมิธรรม” ย้ำฟ้องผู้นำกัมพูชาใช้ศาลไทยต่อมา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลเพิ่มเติมถึงมติที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้ฟ้องร้องนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ทั้งแพ่งและอาญาต่อศาลไทย จะสามารถไปถึงการฟ้องอาชญากรสงครามต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ได้หรือไม่ว่า การฟ้องร้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง ฝ่ายกฎหมายของ สมช. กระทรวงการต่างประเทศและกองทัพ ร่วมกันพิจารณาเป็นไปตามกระบวนการ คิดว่าเหมาะสมตามสภาพ ถ้าทำได้เขาคงทำ ไม่มีปัญหาอะไร แต่เราเริ่มสตาร์ตเรื่องนี้ก่อน ยังไม่ไปถึงตรงนั้น ขณะนี้ยังเป็นเรื่องภายในประเทศ และไม่ทราบว่านายฮุน เซน จะทำอะไรหรือคิดอะไรที่บอกว่าถ้าเจอผู้นำไทยในกัมพูชา จะแจ้งจับเหมือนกัน แต่มติ สมช.เมื่อวันที่ 18 ส.ค. เป็นสิ่งที่เราคิดภายในประเทศ ดูจากความเสียหายที่เกิดขึ้น และดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมที่มีอยู่เลขาฯกฤษฎีกาชี้ช่องเอาผิดด้านนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้สัมภาษณ์ถึงการฟ้องดำเนินคดีเอาผิดผู้นำกัมพูชา ตามกฎหมายประเทศไทย จากสถานการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าเป็นการนำตัวผู้กระทำผิด ผู้สั่งการมาดำเนินคดีในไทย ในกรณีที่ไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษในประเทศได้ เนื่องจากมีเอกสิทธิ์คุ้มกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่คนที่ไม่มีเอกสิทธิ์ ถ้าเข้ามาต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายไทย โดยอัยการสูงสุดจะเป็นผู้ดำเนินการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญาวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 20 เนื่องจากคดีนี้มีความผิดทางอาญาหลายกระทง ทั้งความมั่นคงนอกราชอาณาจักร การฆ่าคน และมีผู้เสียชีวิต ความผิดต่อทรัพย์สินรวมถึงทรัพย์สินเสียหาย ขั้นตอนต่อจากนี้ ตำรวจภูธรภาค 3 จะรวบรวมหลักฐานส่งให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีแนะยึดทรัพย์ในไทยมาชดใช้ได้นายปกรณ์กล่าวอีกว่า ส่วนความเสียหายทางแพ่ง ทั้งที่เกิดในส่วนราชการและภาคเอกชน กระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้รวบรวมข้อมูลจากประชาชน เพื่อแจ้งความดำเนินคดีและเรียกร้องค่าเสียหายให้กับประชาชน โดยจะขอให้อัยการเข้ามาช่วยเหลือ หากดำเนินคดีเอาผิดทางแพ่งและสืบทรัพย์ของผู้กระทำผิดว่ามีทรัพย์สินอยู่ในประเทศไทย สามารถดำเนินการตามกระบวนการเพื่อนำทรัพย์มาชดเชยให้ประชาชนที่เสียหายได้ ส่วนที่นายฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ระบุจะฟ้องดำเนินคดีกับผู้นำไทยนั้น ขึ้นอยู่กับกฎหมายแต่ละประเทศ ไม่ก้าวล่วงซึ่งกันและกัน ซึ่งก็น่าแปลก พอจะฟ้องกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่มีใครเดือดร้อน แต่พอบอกว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมายไทย กลับโมโหขึ้นมาจับตาโดรนปริศนามามากขึ้นจากนั้นในช่วงบ่าย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกฯ ได้กล่าวในที่ประชุม ครม.เกี่ยวสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่ารัฐบาลดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิง และดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ ขณะนี้ยังมีรายงานจากฝ่ายความมั่นคงว่า มีอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน แปลกปลอมเพิ่มขึ้นมากจนผิดปกติ ขอให้ ศบ.ทก. ร่วมกับกระทรวงคมนาคม และ กสทช.กำหนดมาตรการที่เหมาะสมและแก้ปัญหาโดยเร่งด่วนสั่งเข้มแก้ปัญหาเฟกนิวส์นายจิรายุกล่าวอีกว่า ในส่วนการเยียวยาตามมติ ครม.ให้ทหารและพลเรือนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ได้ดำเนินการแล้ว รวมถึงบ้านเรือนที่เสียหายได้รับการช่วยเหลือซ่อมแซมตามลำดับ เรื่องสงครามข่าวสาร มีการสร้างข่าวเท็จ และสร้างสถานการณ์ ตลอดจนมีข่าวปลอม จึงขอให้หน่วยงานต่างๆ ด้านการสื่อสารมวลชน ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมมือกับ ศบ.ทก. ตรวจสอบขจัด Fake news ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ และไม่เป็นผู้ขยายผลเสียเองงบฯมีจำกัดทำรั้วถาวรไม่ได้ขณะที่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาราชการแทน รมว. กระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีทหารกัมพูชาแสดงความไม่พอใจ และขัดขวางขณะที่ไทยนำคณะ IOT ขณะลงพื้นที่ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี โดยอ้างว่าไทยไม่แจ้งก่อนว่า ไม่เป็นไร ต้องคุยกัน แต่ส่วนตัวยังไม่เห็นภาพที่เกิดขึ้น เพราะเพิ่งเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี แต่ก่อนหน้านี้เคยตกลงกันแล้วตั้งแต่การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ว่าจะนำไอโอทีลงไป และก่อนหน้านี้ ได้โทรศัพท์พูดคุยกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายก รัฐมนตรีมาเลเซีย ระบุต้องการเพิ่มจำนวนคนไอโอที เพราะอัตรากำลังที่มี ไม่สามารถรองรับงานที่เพิ่มขึ้นได้ แต่ไทยไม่เห็นด้วย ขอให้คงจำนวนเท่าเดิม และให้ใช้คนในสถานทูตไปก่อน ส่วนกรณีที่ประชาชนเรียกร้องให้ล้อมรั้วลวดหนามถาวรกั้นชายแดน ยอมรับ งบประมาณมีจำกัด จึงต้องพิจารณาเรียงลำดับความสำคัญ เช่น จะใช้งบประมาณเพื่อล้อมรั้ว หรือจะจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งการล้อมรั้วลวดหนาม ไม่ใช่การจัดทำรั้ว แต่เป็นเพียงแค่เครื่องกีดขวาง เพื่อช่วยแบ่งเบาภารกิจทหารบริเวณชายแดนเท่านั้นทบ.ซัด CMAC บิดเบือนข้อมูลวันเดียวกัน พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีนายเฮง รัตนา ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งกัมพูชา (CMAC) เผยแพร่ข้อมูลอ้างว่า ผู้เชี่ยวชาญของ CMAC ตรวจพบกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มิลลิเมตร บรรจุสารฟอสฟอรัสขาว (White Phosphorus-WP) ในพื้นที่จังหวัดอุดรมีชัย พร้อมทั้งกล่าวหาว่าเป็นผลจากการยิงของกองทัพไทยในช่วงความขัดแย้ง 5 วัน และเป็นกระสุนที่มีลักษณะเป็นอาวุธเพลิงและก่อควันพิษ ยืนยันว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง ปราศจากหลักฐานสนับสนุน และไม่มีน้ำหนักทางกฎหมายกระสุน WP ไม่ใช่อาวุธเคมีโฆษกกองทัพบกชี้แจงอีกว่า กระสุนฟอสฟอรัสขาว (WP) มีวัตถุประสงค์หลักในการใช้สร้างควัน แสงสว่าง ระเบิด และเพลิง ไม่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มอาวุธเคมีตามอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี (Chemical Weapons Convention-CWC) อีกทั้งไม่มีสนธิสัญญาระหว่างประเทศใดที่ห้ามการเก็บรักษาหรือการใช้งานกระสุนชนิดนี้ ประเทศไทยจึงสามารถเก็บรักษาและใช้ตามภารกิจทางทหารได้ภายใต้กรอบกฎหมายสากล ในส่วนของอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้อาวุธตามแบบบางชนิด (Convention on Certain Conventional Weapons-CCW) พิธีสารที่ 3 กำหนดห้ามการใช้อาวุธเพลิงที่ออกแบบมาเพื่อเผาไหม้บุคคลโดยตรง แต่กระสุน WP ไม่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มดังกล่าว ทั้งนี้ การใช้กระสุน WP ของกองทัพบกไทยอยู่ภายใต้ระเบียบการควบคุมอย่างเข้มงวด ใช้ต่อเป้าหมายทางทหารเท่านั้น และไม่เคยมีการนำไปใช้เพื่อมุ่งทำลายชีวิตพลเรือนแต่อย่างใดไทยทำตาม ก.ม.สากลเคร่งครัดพลตรีวินธัยเน้นย้ำว่าการครอบครองและการใช้กระสุน WP ของกองทัพไทยเป็นไปอย่างเคร่งครัดตามกรอบกฎหมายสากล มีการควบคุมรัดกุม และสอดคล้องกับหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศทุกประการ จึงเห็นได้ว่าข้อกล่าวหาที่กัมพูชาเผยแพร่เป็นเพียงความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความเข้าใจผิดในเวทีสาธารณะเท่านั้นประมูลไม้กอล์ฟ “บิ๊กตู่” ช่วยทหารเจ็บที่สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ วันเดียวกัน มีพิธีมอบความช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บ รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงของฐานที่มั่นในการปกป้องอธิปไตยจากเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมี พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นผู้รับมอบ รวมมูลค่ากว่า 14,800,000 บาท ขณะที่ในส่วนนักศึกษา วปอ.แต่ละรุ่น ได้มอบเงินช่วยเหลือรวมกว่า 3 ล้านบาท โดย วปอ.64 ที่มี นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีต รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานรุ่น ได้มอบเงินกว่า 776,000 บาท โดยรุ่นดังกล่าวมีการจัดระดมทุนหลายทาง เช่น การประมูลสิ่งของ หนึ่งในนั้นคือไม้พัตเตอร์ (ไม้กอล์ฟ) ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ขณะที่ วปอ.บอ.รุ่นที่ 1 รุ่นของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯและ รมว.วัฒนธรรม 50,000 บาท นอกจากนี้ยังมีภาคเอกชน เครือข่ายต่างๆ เช่น มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง 1 ล้านบาท บริษัท ปตท. 5 ล้านบาท เป็นต้น“บุญสิน” ย้ำในหลวงทรงห่วงใยทหารพล.ท.บุญสินกล่าวว่า รู้สึกชื่นชมและดีใจที่ประเทศชาติเราเป็นอย่างนี้ คนไทยไม่ทิ้งกัน เหตุการณ์ตลอดแนวชายแดนเกือบ 1,000 กิโลเมตร มีหลายเหตุการณ์ ลูกหลานทหารพยายามทำให้ดีที่สุด ทั้งนี้ การสูญเสียพวกเราป้องกันอย่างเข้มงวดทุกระดับชั้น แต่การเข้าตีบางอย่างเราเป็นฝ่ายรุกอาจมีเหตุที่พวกเราบาดเจ็บบ้าง พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยทหารทุกนายที่ได้รับผลกระทบ การปฏิบัติด้านยุทธการครั้งนี้ พระองค์ทรงรับเป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ทั้งหมดสถานการณ์ยังก้ำกึ่งไม่น่าไว้ใจพล.ท.บุญสินกล่าวอีกว่า ขอขอบคุณสิ่งของที่มอบให้ในวันนี้ จะนำไปใช้กับน้องๆ ตามวัตถุประสงค์ บางครั้งงบประมาณราชการ กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก รัฐบาล ได้มอบให้เพียงพอ แต่บางรายการนั้นเร่งด่วน รอการจัดหาตามช่วงเวลาไม่ทัน และช่วงนี้สถานการณ์ยัง 50-50 ตามภาพข่าวประเทศกัมพูชา เป็นไปตามที่เราเข้าใจ ไม่มีอะไรที่เราไว้ใจได้ ปัจจุบันกองทัพภาคที่ 2 โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีความห่วงใยได้ลงไปตรวจเยี่ยมเป็นประจำ รวมถึงผู้บัญชาการทหารบก เหล่าทัพมีความพร้อม ทั้งที่จะคุยกันแบบมิตรภาพ ถ้ามีเหตุจะปะทะกันอีกก็พร้อม ขอให้พี่น้องทุกท่านสบายใจในการปฏิบัติของทหาร หวังว่าเหตุการณ์พวกนี้จะยุติโดยเร็ว ปลายเดือน ส.ค.นี้ ตนจะประชุมอาร์บีซีกับแม่ทัพกัมพูชา คงจะพูดคุยกันให้เข้าใจ เพื่อนำไปสู่การประชุมจีบีซีอีกรอบ โดยทุกอย่างตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักจีนจะเป็นคนกลางร่วมวง RBCแม่ทัพภาคที่ 2 ยังกล่าวถึงกรณีผลการหารือ RBC ในพื้นที่กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ที่กัมพูชาไม่ตอบรับการจัดการทุ่นระเบิด ว่าเห็นว่าประเทศจีนจะเข้ามาเป็นตัวกลางขอความร่วมมือทั้ง 2 ประเทศ ให้เก็บกู้ทุ่นระเบิด เรื่องนี้จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่เราจะใส่ไปในการพูดคุย RBC ครั้งต่อไป ส่วนถ้ากัมพูชาไม่ฟัง ไทยจะชี้แจงให้ชาวโลกรู้ว่ากัมพูชาไม่ยอมรับการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เราเคารพอนุสัญญาออตตาวาอยู่แล้ว พยายามเข้าสู่ที่ประชุมเพื่อให้เป็นไปตามหลักสากล จะได้เก็บกู้ร่วมกัน โดยองค์กรสากลที่เป็นกลาง ส่วนการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชานั้น ยืนยันว่าคงไม่ได้เอาเข้าที่ประชุม ถ้าสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายไปในทางที่ดี คงยังไม่มีการคุยกันเรื่องนี้มทภ.2 คนใหม่ฟ้าลิขิตไว้แล้วส่วนกรณีการเสนอชื่อแม่ทัพภาค 2 คนใหม่ ให้กองทัพบกพิจารณานั้น พล.ท.บุญสินกล่าวว่าไม่ขอให้ความเห็น ตนจะเกษียณแล้ว จึงไม่ขอตอบเรื่องนี้ ส่วนรายชื่อในใจตรงกับผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจหรือไม่ เป็นคำถามที่น่าคิด แต่ไม่ขอตอบ ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชา ซึ่งทุกอย่างฟ้าลิขิตไว้หมดแล้วทภ.2 พบกัมพูชามีการเคลื่อนไหวสำหรับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) สรุปสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ณ เวลา 14.00 น. วันที่ 19 ส.ค. ระบุสถานการณ์โดยรวม ตรวจพบความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชา มีรถบรรทุก และรถยนต์หลายคันวิ่งเข้ามาในบางพื้นที่ อีกทั้งตรวจพบ โดรน 23 ลำในฝั่งกัมพูชา ปัจจุบันกองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย ยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตนเอง ฝ่ายไทยจัดกำลังพลประจำจุดเฝ้าตรวจตามเหตุการณ์ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม และเตรียมความพร้อม ในการปฏิบัติตอบโต้ตามสถานการณ์ปชช.อยู่ศูนย์อพยพในอุบลฯ 638 คนในส่วนของการดูแลผู้อพยพ สนับสนุนส่วนราชการทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน อำนวยความสะดวกประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงภัย ไปยังพื้นที่รวบรวมพลเรือน พื้นที่ จ.อุบลราชธานี 8 ศูนย์ ปัจจุบันมียอดรวม 638 คน เนื่องจากไม่มั่นใจในสถานการณ์ในพื้นที่ ทั้งนี้ ทางฝ่ายปกครองได้จัดชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน เข้าดูแลพื้นที่บ้านเรือนของประชาชนที่อพยพอย่างต่อเนื่องส่งทหารบาดเจ็บรักษาตัวใน กทม.ส่วนที่กองบิน 21 อ.เมืองอุบลราชธานี รพ.ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ มณฑลทหารบกที่ 22 อ.วาริน ชำราบ เจ้าหน้าที่ รพ.ได้ส่งตัวทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากปะทะกับทหารกัมพูชา ระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค.2568 จำนวน 5 นาย ให้ไปรักษาตัวต่อที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า กทม. โดยลำเลียงด้วยรถพยาบาลฉุกเฉิน จาก รพ.ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ มาขึ้นเครื่องบินลำเลียง รุ่น CASA-C295 ขนาดสองใบพัด ที่กองทัพบกส่งมารับตัวที่สนามบินร่วมส่งกำลังใจให้ทหารกล้าสำหรับทหารทั้ง 5 นายจาก รพ.ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ ที่ถูกส่งตัวมา รพ.พระมงกุฎฯ ประกอบด้วย 1.ร้อยตรีธนาวุธ เวชสงเคราะห์ ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด มีแผลฉีกที่ไหล่ขวา และมีสะเก็ดระเบิดค้างที่ลำตัว รวมทั้งมีอาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อร่วม 2.จ่าสิบเอกธานี พาหา บาดเจ็บจากระเบิดข้อเท้าซ้ายขาด ต้องทำกายภาพบำบัด 3.สิบเอกต้าน สีใส บาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดในช่องลูกตาและเส้นประสาทตาซ้าย 4.อาสาสมัครทหารพรานสิทธิเดช สวัสดิ์สูงเนิน บาดเจ็บจากแรงระเบิด เลือดออกที่วุ้นลูกตาและจอประสาทตาหลุดลอกมีเลือดออกที่เยื่อหุ้มสมองชั้นนอก และยังมีบาดแผลสะเก็ดระเบิดที่แขนขา 5.พลทหารวีรทัศน์ สุขประเสริฐ บาดเจ็บจากแรงระเบิด กระดูดนิ้วมือซ้ายหักแบบเปิด ต้องดูแลบาดแผลเพิ่มเติมและทำกายภาพบำบัด ทั้งนี้ ประชาชนที่อยู่ใน รพ.พระมงกุฎเกล้า และใกล้เคียงที่ทราบข่าวและเห็นขบวนรถที่นำทหารทั้ง 5 นาย ต่างพูดชื่นชมในวีรกรรมพร้อมส่งกำลังใจขอให้รักษาหายดีในเร็ววัน ขณะเดียวกันมีรายงานว่า รพ.สุรินทร์ ได้ส่งตัว สิบเอกธีรพล เพียขันที ทหารพรานที่เหยียบกับระเบิดจนขาซ้ายขาด ขณะลาดตระเวนบริเวณปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก เมื่อวันที่ 12 ส.ค. มาที่ รพ.ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา เพื่อส่งมารักษาต่อยัง รพ.พระมงกุฎฯ กทม. เช่นเดียวกันชายแดนกาบเชิงยังไม่นิ่งส่วนที่ อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ยังคงตึงเครียด เพราะทหารไทยพบความเคลื่อนไหวของกำลังพลทหารกัมพูชาและยุทโธปกรณ์ต่างๆ เคลื่อนเข้ามาประชิดชายแดนอย่างต่อเนื่องทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่มั่นใจ มีโอกาสเกิดการปะทะอีกรอบ ทำให้ชาวบ้านบ้านด่าน บ้านโจรก และบ้านไผ่เงิน ต.ด่าน อ.กาบเชิง พากันนำผู้สูงอายุ ผู้ป่วยและเด็ก ร่วม 400 ชีวิต อพยพไปที่วัดศรีรัตนาราม และวัดเทพสุรินทร์ อ.เมืองสุรินทร์ และในพื้นที่ปลอดภัย โดยไม่รอประกาศจากทางราชการ เพราะหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นเกรงจะอพยพไม่ทันทร.เจอมือถือทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิดช่วงค่ำวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชุดเก็บกู้กวาดล้างที่ 1 หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมกองทัพเรือ (นปท.ทร.) ที่สนับสนุนการปฏิบัติงานการเก็บกู้และกวาดล้าง ได้ตรวจพบโทรศัพท์ของทหารกัมพูชาที่ทิ้งไว้ในพื้นที่ภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ ร้อย ร.132 พัน.13 (ฐานเหนือเมฆ) จึงได้นำมาใส่แบตเตอรี่และตรวจสอบภาพที่อยู่ในโทรศัพท์ พบคลิปวิดีโอและภาพถ่าย ทหารกัมพูชาถือทุ่นระเบิด PMN-2 ซึ่งในคลิปพูดภาษากัมพูชาคาดว่าเป็นการแนะนำการใช้งาน ก่อนลักลอบนำไป ฝังดิน เจ้าหน้าที่จึงได้นำโทรศัพท์ส่งให้ทางหน่วยกองทัพบกในพื้นที่ เพื่อดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ถือว่าเจ้าหน้าที่ นปท.ทร.มีไหวพริบที่ดีมาก เมื่อพบหลักฐานแล้วรีบตรวจสอบ ที่สำคัญภาพในโทรศัพท์ ระบุไว้ด้วยว่าถ่ายวันไหน ถือเป็นหลักฐานชั้นดีอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่