กองทัพบกจัดหนัก โต้ข้อกล่าวหาจากฝั่งกัมพูชา หลังพยายามบิดเบือนภาพทุ่นระเบิดที่นำมาโชว์คณะทูตฯ ระบุถ้อยแถลงของ “มาลี โสเจียตา” โฆษก กห.มัดคอแน่นกัมพูชายอมรับใช้ทุ่นระเบิดคุกคามทำร้ายไทย ขณะที่ TMAC ตอกซ้ำ มีเอกสารระบุชัดเจนกัมพูชาครอบครองทุ่น PMN-2 และชนิดอื่นๆรวม 3.7 พันลูกมาตั้งแต่ปี 2567 รวมถึงลักลอบนำมาวางในเขตแดนไทย ด้าน “จิรายุ” ถอยแล้ว ไม่เชิญ “ไมเคิล อัลฟาโร” มา อ้างเพิ่งรู้ว่าไม่ใช่นักข่าวทำเนียบขาว ลั่นไม่ต้องมาเหยียบแผ่นดินไทย แม้อีกฝ่ายตอบรับคำเชิญแล้ว แต่พร้อมเชิญสื่อระดับโลกไป จ.สุรินทร์ ดูจุดจรวดกัมพูชาตกใส่ ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน บ้านพลเรือนแทน ขณะที่กองทัพไทยนำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว 8 ประเทศ ดูพื้นที่จุดปะทะใน 3 จังหวัด “อุบลราชธานี-ศรีสะเกษ-สุรินทร์”ความคืบหน้าหลังกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกองทัพบก พาคณะทูตจาก 33 ประเทศ รวมถึงผู้แทนองค์การต่างประเทศ และสื่อมวลชน ไปดูจุดที่ได้รับเสียหายจากการโจมตีของกัมพูชา ในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ รวมถึงจุดวางทุ่นระเบิดที่ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บและขาขาดไปหลายนายทบ.ชี้ชัดกัมพูชายอมรับใช้ทุ่นระเบิด ต่อมาเมื่อวันที่ 17 ส.ค. พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณี พล.ท. (หญิง) มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงอ้างแนวทางการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของกัมพูชาขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างสมบูรณ์ และคณะกรรมการชายแดนภูมิภาค (RBC) ไม่มีอำนาจตัดสินใจ ต้องนำเข้าหารือในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ว่า กัมพูชากล่าวในลักษณะนี้แสดงถึงการยอมรับว่าฝ่ายกัมพูชามีการใช้ทุ่นระเบิดคุกคามทำร้ายฝ่ายไทยจริงอย่างชัดเจนหยุดยิงแต่ใช้ทุ่นระเบิดทำร้ายไทยโฆษกกองทัพบกกล่าวด้วยว่า กัมพูชาแสดงท่าทีจะดำเนินการในเรื่องทุ่นระเบิด ต่อเมื่อข้อตกลงหยุดยิงสมบูรณ์แล้ว ทั้งที่ในความเป็นจริงหากฝ่ายกัมพูชายังคงใช้ทุ่นระเบิดอยู่ ข้อตกลงหยุดยิงจะมีความสมบูรณ์ได้อย่างไร โดยเฉพาะสิ่งนี้ยังเป็นอาวุธที่กัมพูชาใช้คุกคามทำร้ายฝ่ายไทยอยู่ตลอดเวลาเพียงฝ่ายเดียว มีปรากฏหลักฐานเป็นที่ประจักษ์มากมาย การกระทำของกัมพูชายังดูย้อนแย้งกับบทบาท ในเวทีนานาชาติที่เข้าใจว่ากัมพูชาเอาจริงเอาจังในการต่อต้านทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ทั้งที่กัมพูชาเป็นประเทศที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนดำเนินการในเรื่องทุ่นระเบิดจากนานาชาติปีละจำนวนมาก แต่กลับเพิกเฉยในสิ่งที่ควรกระทำ กระทบภาพลักษณ์กัมพูชาต่อสายตานานาชาติ โดยเฉพาะภาคีสมาชิกอนุสัญญาออตตาวา และผู้ให้เงินทุนสนับสนุนกับกัมพูชาโต้ ผอ.CMAC กล่าวหาไทยจัดฉากนอกจากนี้ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีนายเฮง รัตนา ผู้อำนวยการ CMAC ชี้แจงเรื่องทุ่นระเบิด PMN-2 ที่ฝ่ายไทยนำมาแสดงให้คณะทูตฯ ดูเมื่อวันที่ 16 ส.ค. ยังไม่ถูกดึงสลักนิรภัยว่า ทางเทคนิคระเบิดที่นำไปวางต้องดึงสลักนิรภัยออกก่อน มิฉะนั้นระเบิดจะไม่ทำงานว่า พูดแบบนี้มีเจตนาหวังให้ผู้รับสารเข้าใจผิดว่าไทยสร้างภาพหลอกนักข่าว และนักการทูต ทุ่นระเบิดที่นำมาจัดแสดงให้คณะผู้แทนจากต่างประเทศดู ถูกตรวจพบจากการเข้าตรวจค้นและทำพื้นที่ให้ปลอดภัยโดยหน่วยทหารช่าง เมื่อวันที่ 4 ส.ค.บริเวณพื้นที่ภูมะเขือ ในจุดที่ทหารกัมพูชาเคยวางกำลังอยู่ บริเวณดังกล่าวฝ่ายไทยได้ตรวจพบทุ่นระเบิดเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ เป็น PMN-2 ซึ่งที่พบมีทั้ง 2 ลักษณะ คือ ทุ่นระเบิดที่เก็บไว้ยังไม่ได้นำไปติดตั้ง จึงเห็นในภาพว่ายังมีสลักนิรภัยติดอยู่ และทุ่นระเบิดที่ติดตั้งแล้ว ในกรณีนี้จะไม่มีสลักนิรภัย โดยทั้งสองลักษณะได้ถูกนำมาแสดงให้คณะผู้แทนจากต่างประเทศได้ดู การที่นายเฮง นำภาพมาประกอบข่าว เป็นการเลือกภาพมาเพียงบางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมด จึงเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อหวังให้เกิดความสับสน และมุ่งทำลายความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับพยานหลักฐานของฝ่ายไทย แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นผล เพราะผู้แทนจากต่างประเทศได้เห็นและสัมผัสกับของจริงทั้งหมดอย่างละเอียดและครบถ้วนแล้วทุ่นระเบิดที่พบสภาพใหม่กริ๊บต่อมา พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการ กองทัพไทย กล่าวว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน ในสื่อออนไลน์ของฝ่ายกัมพูชาเกี่ยวกับทุ่นระเบิด ที่ตรวจพบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสังคมดังนี้ จากเหตุการณ์ที่กำลังพลไทย 5 นาย ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน ผลการตรวจพิสูจน์โดยเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ยืนยันว่าเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 ใหม่ทั้งหมดที่ถูกวางแบบพร้อมใช้งาน มีการถอดอุปกรณ์ Safety และกลบพรางอย่างแนบเนียน สภาพทุ่นมีความใหม่ ตัวอักษรคมชัด และเมื่อรื้อถอนพบว่าสปริง เข็มแทงชนวน และชิ้นส่วนภายในอยู่ในสภาพใหม่สมบูรณ์ ไม่ใช่ทุ่นเก่าตามที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้างแฉกัมพูชาครอบครอง PMN–2 เพียบพล.ต.วิทัยกล่าวอีกว่า ประเทศไทยได้ดำเนินการตามอนุสัญญาออตตาวาอย่างเคร่งครัด โดยพื้นที่ช่องบก และช่องอานม้า ที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ที่ TMAC เคยกวาดล้างทุ่นระเบิดแล้ว 100 เปอร์เซ็นต์ และมีการรายงานต่อที่ประชุมอนุสัญญาทุกปี ไม่เคยพบทุ่น PMN-2 แต่อย่างใด ขณะเดียวกันประเทศไทยไม่เคยมีทุ่นชนิดนี้อยู่ในครอบครอง และได้ทำลายทุ่นระเบิดคงคลังทั้งหมดตั้งแต่ปี 2546 รวมถึงครั้งสุดท้ายในปี 2562 โดยไม่มี PMN-2 อยู่ในบัญชีแม้แต่ลูกเดียว ในทางกลับกันเอกสารรายงานต่ออนุสัญญาออตตาวา ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2024 (พ.ศ.2567) ระบุชัดเจนว่า กัมพูชายังคงครอบครองทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 และชนิดอื่นๆรวมกว่า 3,700 ลูก โดยอ้างว่าเก็บไว้เพื่อการฝึกตามมาตรา 3 ของอนุสัญญาฯ แต่การลักลอบนำทุ่น PMN-2 มาวางในเขตอธิปไตยของไทยถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาอย่างร้ายแรง และเอาผิดได้ตามกฎหมายระหว่างประเทศย้ำกัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวา“กองทัพไทย โดยศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ขอเน้นย้ำว่าข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ตรวจสอบได้จากหลักฐานทางเทคนิคและการพิสูจน์โดยตรง ยืนยันชัดเจนว่าทุ่นระเบิดที่ทำให้กำลังพลไทยได้รับบาดเจ็บ เป็นทุ่นระเบิดใหม่ชนิด PMN-2 ที่ฝ่ายกัมพูชาลักลอบนำมาวางในพื้นที่ชายแดนไทย ไม่ใช่ทุ่นเก่าตามที่มีการกล่าวอ้าง เหตุการณ์นี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาและเป็นการกระทบต่ออธิปไตยของประเทศไทยอย่างไม่อาจปฏิเสธได้” โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทยกล่าวย้ำIOT 8 ชาติดูจุดปะทะ 3 วันรวดทั้งนี้ มีรายงานว่าในวันที่ 18 ส.ค.นี้ กองบัญชาการกองทัพไทยจะนำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team : IOT) จำนวน 8 ประเทศ ประกอบด้วย บรูไน มาเลเซีย ลาว อินโดนีเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม รวม 14 นาย นำโดยผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซีย ประจำกรุงเทพฯ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานใน พื้นที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 (กองกำลังสุรนารี) เป็นเวลา 3 วัน เพื่อรับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของกัมพูชา ตามบันทึกข้อตกลงจากผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา รวมทั้งการขัดขวางการปฏิบัติการในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติไป “ช่องอานม้า–ผามออีแดง–ภูมะเขือ”สำหรับกำหนดการในวันแรก คณะฯจะออกจากกรุงเทพมหานคร ไปยัง บก.มณฑลทหารบกที่ 22 อ.เมืองอุบลราชธานี รับฟังการบรรยายสรุปในช่วงเวลา 15.15 น. จากนั้นในวันที่ 19 ส.ค. เดินทางลงพื้นที่ ช่องอานม้า อ.น้ำยืน และเดินทางต่อไปยังผามออีแดง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อรับฟังบรรยายสรุปในประเด็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ส่วนช่วงบ่ายจะเดินทางเพื่อไปยังฐานกฤษณา-ฐานปราบศึก ใกล้ภูมะเขือ พร้อมรับชมการปฏิบัติงานของหน่วยปฏิบัติการหุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 2เยี่ยมเชลยศึก–ดูความเสียหาย รพ.ส่วนวันที่ 20 ส.ค. คณะฯตรวจเยี่ยมเชลยศึก จากนั้นเดินทางไป รพ.พนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.สุรินทร์ เพื่อรับฟังการบรรยายสรุป พร้อมตรวจพื้นที่ผลกระทบจากจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ต่อจากนั้นเดินทางไปช่องจุ๊ปตะโมก ตรวจพื้นที่จุดที่กำลังพล ร้อย ทพ.2601 เหยียบกับระเบิดแฉ “ไมเคิล” ไม่ใช่สื่อทำเนียบขาวด้าน พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจฯ ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ด้านความมั่นคง กล่าวถึงการกล่าวหาที่บิดเบือนเกี่ยวกับการรุกล้ำดินแดนของกองกำลังไทยว่า ตามที่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยบุคคลที่ใช้ชื่อว่า ไมเคิล อัลฟาโร (Michael B Alfaro) กล่าวอ้างว่ากองกำลังทหารไทยรุกล้ำดินแดนและขัดขวางการสัญจรของประชาชนกัมพูชาในพื้นที่ชายแดนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนเจตนาไม่บริสุทธิ์ ศบ.ทก.ขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า 1.ความน่าเชื่อถือของผู้กล่าวหา จากการตรวจสอบ Michael B Alfaro มิได้มีสถานะเป็นผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบขาวของสหรัฐ อเมริกา และไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานทางการหรือสื่อมวลชนใดๆที่ได้รับการรับรอง เนื้อหาที่เผยแพร่จึงไม่อาจถือเป็นข้อมูลที่ได้รับการตรวจสอบตามมาตรฐานสื่อสากล แต่เป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคลที่ปราศจากหลักฐานรองรับบิดเบือนข้อเท็จจริงให้ร้ายไทยโฆษก ศบ.ทก.กล่าวอีกว่า 2.การบิดเบือนข้อเท็จจริง การนำเสนอที่ใช้ถ้อยคำฟันธง และกล่าวหาต่อประเทศไทย ศบ.ทก.เห็นว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน และไม่สามารถยอมรับได้ 3.จุดยืนของประเทศไทยที่ชัดเจน กองทัพไทยยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ไม่เคยมีการรุกล้ำดินแดนและไม่เคยกระทำการที่ละเมิดอธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้าน ภารกิจของกองกำลังไทยดำเนินไปภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ความระมัดระวังสูงสุดและยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชนสากล 4.ข้อเรียกร้องต่อสื่อมวลชน และประชาคมโลก ศบ.ทก.ขอให้สื่อมวลชนและประชาคมระหว่างประเทศ ตระหนักถึงความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าว และใช้ข้อมูลจากหน่วยงานที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวสารที่บิดเบือน ถูกนำไปขยายผลจนสร้างความตึงเครียดโดยไม่จำเป็นเล็งเอาผิดตาม ก.ม.หากทำซ้ำอีกพล.ร.ต.สุรสันต์กล่าวอีกว่า ศบ.ทก.ขอย้ำว่าประเทศไทยยึดมั่นในหลักสากลแห่งการอยู่ร่วมกันโดยสันติ แต่จะไม่ยอมให้ข้อมูลเท็จ การบิดเบือนหรือการยั่วยุใดๆมาบั่นทอนศักดิ์ศรีของชาติ ทั้งนี้ หากมีการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จในลักษณะซ้ำซากหรือบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ ไทยจะพิจารณาดำเนินการตามกรอบกฎหมายและกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัดและถึงที่สุด“จิรายุ” กลับลำไม่เชิญ “ไมเคิล”แล้วต่อมานายจิรายุ ห่วงทรัพย์ คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยถึงกรณีจะเชิญนายไมเคิลที่กล่าวอ้างว่าเป็นนักข่าวประจำทำเนียบขาวให้มาเห็นของจริงในฝั่งไทยที่โดนกัมพูชาถล่มหนักแค่ไหน นายไมเคิลมีการไลฟ์พูดโกหกใส่ร้ายป้ายสีไทยไปทั่วโลกและบอกว่าตนเองเป็นสื่อรัฐบาลสหรัฐฯจะฟ้องประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งตนเห็นว่าหากมาเห็นอีกมุมที่ประเทศไทยโดนกัมพูชาโจมตีทั้งโรงเรียน พื้นที่พลเรือนและโรงพยาบาล ก็เป็นประโยชน์หากเป็นนักข่าวประจำทำเนียบขาวจริง แต่ขณะนี้พบว่านายไมเคิลไม่ได้เป็นนักข่าวประจำทำเนียบขาวจริง แถมยังแอบอ้างถึง ปธน.สหรัฐฯ จึงขอบอกว่า “จบข่าว” ไม่ต้องมาเหยียบแผ่นดินไทยต่อไปเตรียมพาสื่อตัวจริงไปสุรินทร์นายจิรายุกล่าวด้วยว่า รัฐบาลเตรียมนำสื่อมวลชนระดับโลกลงพื้นที่กองกำลังสุรนารี จังหวัดสุรินทร์ สัปดาห์หน้านี้ ในจุดที่ไทยถูกอาวุธหนักของกัมพูชาถล่ม อาทิ โรงพยาบาล โรงเรียน และพื้นที่พลเรือน จากนั้นจะเชิญสื่อมวลชนระดับโลกไปยังพื้นที่ที่รวบรวมกับระเบิดที่เจ้าหน้าที่เก็บกู้ได้โดย TMAC ก่อนจะให้ชมการปฏิบัติการทำลายวัตถุระเบิดที่ตกค้างจากการรุกล้ำอธิปไตยไทยมทภ.2 ปัดลงการเมืองหลังเกษียณสำหรับสถานการณ์ในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีของกัมพูชา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดวันที่ 17 ส.ค. ภาพรวมถือว่ายังเงียบสงบ ชาวบ้านสามารถออกมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยที่วัดสวนธรรมปีติ (ธรรมอุทยานหลวงปู่ศิลา สิริจันโท) ต.เชียงเครือ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ มีพิธีฉลองประกาศตั้งวัดและยกเสาเอก เสาโท เจดีย์โนนสาวเอ้ ท่ามกลางลูกศิษย์คนดังของหลวงปู่ศิลา สิริจันโท มาร่วมพิธีอย่างคับคั่ง รวมถึง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ที่มีประชาชนจำนวนมากมารอต้อนรับ มอบกำลังใจ และขอบคุณที่ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของไทยอย่างเต็มความสามารถ โดยแม่ทัพภาคที่2 ได้นำพระพุทธรูปโบราณมาถวายหลวงปู่ศิลาด้วย โดย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า หลังจากเกษียณอายุราชการจะไปทำหน้าที่เป็นทหารกองหนุน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศไทย ส่วนตำแหน่งทางการเมืองไม่ขอรับ ขอทำหน้าที่ดูแลประเทศชาติในส่วนที่เราสามารถทำได้เจ้าของปั๊มฯรอวัดใจการเยียวยาขณะที่นางสาวกมลรัตน์ พลเศรษฐเลิศ เจ้าของสถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขาบ้านผือ จังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุระเบิดบริเวณชายแดน พร้อมกับพนักงานร้านสะดวกซื้อ และญาติๆ จำนวน 21 คน เข้ากราบขอพรเมตตาจากหลวงปู่ศิลา สิริจันโท ที่วัดสวนธรรมปีติ ได้กล่าวว่า นำคณะมากราบขอพรหลวงปู่ศิลาให้เป็นขวัญกำลังใจให้ทุกๆคน และส่งกำลังใจไปยังชาวอำเภอกันทรลักษ์ ขอให้ชายแดนสงบสุขขึ้นในเร็ววัน ส่วนการช่วยเหลือเยียวยาจากทางการนั้น ในวันจันทร์ที่ 18 ส.ค.นี้ มีการแจ้งว่าจะรื้อสิ่งก่อสร้าง อาคารที่ถูกระเบิดได้หรือไม่ และในวันอังคารที่ 19 ส.ค. จะครบ 15 วัน ที่ได้สรุปกับ คปภ.ไว้ ตนเองอยากจะได้คำตอบที่ชัดเจน ต้องรีบดำเนินการ ปรับปรุงธุรกิจต่อไป ขณะนี้จุดที่อาคารถูกระเบิดกลายเป็นจุดถ่ายภาพเป็นที่ระลึกของผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาแล้วรมช.มท.ให้กำลังใจ ชรบ.วันเดียวกัน นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย พร้อมคณะ เดินทางมาตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประสบภัยจากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยจุดแรกไปที่บ้านโศกขามป้อม ตำบลภูผาหมอก ตรวจเยี่ยมบ้านของนายทองสุข คำแก้ว อาสาสมัครชุดรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้าน (ชรบ.) และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายความมั่นคง ซึ่งบ้านพักได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด รวมถึงรถกระบะแค็บที่จอดข้างบ้านในวันเกิดเหตุ ได้รับความเสียหายด้วย และได้รับบ้านน็อกดาวน์ 2 หลังที่จัดทำขึ้นเพื่อเยียวยาครอบครัวผู้ประสบภัย โดย รมช.มท.กล่าวให้กำลังใจแก่ ชรบ.ภูผาหมอก ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง และกล่าวขอบคุณ ชรบ.ทุกคนที่เสียสละเวลาส่วนตัว เพื่อดูแลความปลอดภัยให้กับชุมชนในช่วงสถานการณ์ที่ยากลำบาก ดูแลประชาชนอย่างเต็มกำลังเร่งสร้างบ้านคืนให้ชาวบ้านจากนั้น รมช.มท.เดินทางต่อไปยังบ้านภูมิซรอล หมู่ที่ 2 ต.เสาธงชัย ตรวจเยี่ยมบ้านเรือนราษฎรที่ได้รับความเสียหาย พร้อมพบปะจิตอาสาและชาวบ้านที่ร่วมแรงซ่อมแซมบ้านเรือนให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ ซึ่งบ้านภูมิซรอลจุดนี้ถือเป็นจุดกระสุนตกที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด ต่อมา รมช.มท.พร้อมคณะ เข้าเยี่ยมดูบ้านของนายนารี ผาหอม ซึ่งได้รับความเสียหายทั้งหลัง จากจรวด BM-21 ของกัมพูชาตกใส่เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า จะฝากสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สร้างบ้านคืนเพื่อเยียวยา พร้อมให้ความช่วยเหลือครอบครัวกลับมามีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายเช่นเดิม“ทักษิณ” มอบบ้านน็อกดาวน์ 15หลังทั้งนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกฯ ยังมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย เป็นตัวแทนรัฐบาลรับมอบบ้านเพื่อคนไทยแบบน็อกดาวน์สำเร็จรูป พร้อมครุภัณฑ์ภายในบ้านพักจำนวน 15 หลัง มูลค่ารวม 3,500,000 บาท จากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยมี พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯและประธานนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 เป็นผู้แทนส่งมอบ โดย น.ส.ธีรรัตน์กล่าวว่า ภาพรวมการช่วยเหลือเยียวยารายหลังคาเรือน ขณะนี้รวบรวมข้อมูลทุกพื้นที่ และจะนำเสนอ ครม.เพื่อขออนุมัติต่อไปปู่ย่าน้องน้ำโขงเก็บอัฐิหลานส่วนที่วัดโจรกพัฒนาวาส บ.โจรก ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ นายสุที บุญแต่ง อายุ 60 ปี และนางสะทน กันภัย อายุ 63 ปี ปู่และย่าของ ด.ช.ธิติวัฒน์ บุญแต่ง หรือน้องน้ำโขง อายุ 8 ขวบ ได้นำอัฐิของหลานชายมาทำบุญบรรจุอัฐิตามประเพณี หลังเสียชีวิตจากกระสุนปืนใหญ่ของทหารกัมพูชายิงมาตกใส่บ้านเลขที่ 159 บ.โจรก ต.ด่าน อ.กาบเชิง เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย อีกรายคือ นายบัณฑิต อุ่นจิตร อายุ 34 ปี นอกจากนี้ ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 2 ราย และมีพิธีพระราชทานเพลิงศพน้องน้ำโขง และพระราชทานดินฝังศพ นายอภิสิทธิ์ บุญแต่ง ไปแล้วเมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยนายสุทีและนางสะทน ปู่กับย่าของน้องน้ำโขง นั่งพับเสื้อผ้าของหลานชายเพื่อทำบุญไปให้ รวมทั้งรองเท้านักเรียน โดยเฉพาะรองเท้าสตั๊ดคู่โปรดที่นายสุทีระบุว่าในวันเกิดเหตุ หลานชายกำลังจะได้ใส่รองเท้าคู่นี้ลงแข่งขันเตะฟุตบอลในกีฬาสีโรงเรียน เป็นนัดแรกในชีวิต แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สวมใส่เชื่อสถานการณ์ยังไม่น่าไว้ใจนายสุทีกล่าวอีกว่า สถานการณ์เท่าที่ดูยังตึงเครียดอยู่ ยังไม่น่าไว้ใจ ยอมรับว่าทำใจวันต่อวัน และรับสภาพที่เกิดขึ้น ส่วนการสูญเสียกับครอบครัวเราก็ทำให้ดีที่สุด ตนและครอบครัวรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ในหลวงทรงรับลูกชายเป็นผู้ป่วยในพระบรมราชานุเคราะห์ และทรงรับศพหลานชายให้อยู่ในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพ เรื่องทุกอย่างและบ้านเรือนที่พังเสียหาย มีพระราช ประสงค์สั่งการให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงที่รับผิดชอบสร้างบ้านให้ ส่วนหลานสาวที่ได้รับบาดเจ็บอีกคน หลายหน่วยงานพร้อมจะสนับสนุนให้เรียนพยาบาล หากมีความประสงค์ ซึ่งต้องรอให้เรียนจบชั้น ม.6ก่อน ตอนนี้ยังเรียนอยู่ชั้น ป.5 ขอบคุณทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องที่มองเห็นและให้ความสำคัญกับการศึกษา ของเด็กโรงเรียนพร้อมเปิดเรียนแล้วนอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โรงเรียนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.สุรินทร์ ที่พร้อมกลับมาเปิดเรียนตามปกติในวันที่ 18 ส.ค.นี้เป็นต้นไป หลังจากเลื่อนการเปิดเรียนมาแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน เนื่องจากไม่มั่นใจในสถานการณ์ชายแดน เกรงจะมีการสู้รบกันเกิดขึ้นอีก หลังปิดการเรียนการสอนมาตั้งแต่เกิดการสู้รบกันวันที่ 24 ก.ค. เป็นต้นมา โดยการเปิดเรียนการสอนอยู่ที่ดุลพินิจและความพร้อมของผู้ปกครองว่าจะให้เด็กนักเรียนมาเรียนหรือไม่ เพราะยังอยู่ในช่วงสถานการณ์ที่ไม่ปกติ แม้ชาวบ้านจะอพยพกลับมาบ้านกันหมดแล้วก็ตาม หลายคนอาจยังไม่ให้ลูกหลานไปโรงเรียน โดยเฉพาะที่โรงเรียนบ้านโจรก ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ อยู่ในพื้นที่ที่กระสุนปืนใหญ่ตกใส่บ้านเรือนประชาชนในหมู่บ้านโจรก เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 2 ราย บาดเจ็บ 2 ราย ในจำนวนนี้มีเด็ก 8 ขวบเสียชีวิต และเป็นเด็กนักเรียนของโรงเรียนบ้านโจรกด้วยผปค.ยังไม่มั่นใจให้เด็กไปเรียนน.ส.สุลาวัลย์ คล้ายพิมพ์ อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 113 บ.โจรก ต.ด่าน อ.กาบเชิง กล่าวว่าสถานการณ์ตอนนี้ 50/50 ตนไม่ไว้ใจกัมพูชา ถึงโรงเรียนบ้านโจรกเปิดเรียนปกติ แต่ครูบอกว่าถ้าใครไม่มั่นใจในสถานการณ์ยังไม่ต้องให้เด็กมาก็ได้ ซึ่งผู้นำชุมชนแจ้งชาวบ้านว่าให้มีการเตรียมความพร้อมไว้ หากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น ให้เอาของไว้บนรถ ถ้ามีประกาศให้พากันออกไป ชาวบ้านส่วนใหญ่ อพยพกลับมาคืนแล้ว เหลือคนแก่ คนพิการที่ยังไม่ให้กลับ ตนอยากให้ปัญหารีบจบลงเร็ว เพราะชาวบ้านต้องทำมาหากิน ตอนนี้ยังไม่กล้าออกไปไหน เช่นเดียวกับนางสุพาน บังเกิดดี อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 119 บ.โจรก ต.ด่าน อ.กาบเชิง ที่ระบุว่าถึงเปิดเรียน ตนยังไม่ได้คิดว่าจะให้ลูกมาเรียนหรือไม่ เพราะยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ ตอนเกิดเหตุระเบิดลง ได้ยินเสียงดังมาก กำลังจะเลี้ยวรถไปหาญาติ จึงรีบพาครอบครัวหนีออกไป มาทราบทีหลังว่ามีคนในหมู่บ้านเสียชีวิตจากเพจเฟซบุ๊กต่างๆ ตอนนี้ยังไม่ไว้ใจในสถานการณ์สถานการณ์ อ.โคกสูงระอุขึ้นมาอีกขณะเดียวกันมีความคืบหน้าสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ที่ชาวกัมพูชาจำนวนหนึ่งชุมนุมแสดงความไม่พอใจที่ฝั่งไทยนำรั้วลวดหนามหีบเพลงไปกั้นพื้นที่ระหว่างชายแดนไทยกับกัมพูชา เมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา แต่ไม่มีเหตุบานปลายใดๆ แต่เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 17 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง หลังเจ้าหน้าที่ฝั่งไทยนำสแลนไปปิดล้อมเพิ่มเติมทำให้มวลชนชาวกัมพูชาจำนวนมากเดินทางเข้ามารวมตัวประชิดแนวรั้วเขตแดนฝั่งไทย พร้อมตะโกนด่าทอ และใช้ถ้อยคำหยาบคาย กดดันเจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำการรักษาความสงบอยู่ในพื้นที่กกล.บูรพาเฝ้าระวังใกล้ชิดเบื้องต้นทหารจากกองร้อยทหารพรานที่ 1207 หน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ กองกำลังบูรพา ตรึงกำลังอย่างเข้มงวด พร้อมทั้งใช้มาตรการเฝ้าระวัง และควบคุมสถานการณ์โดยไม่ตอบโต้ หรือใช้ความรุนแรงกับกลุ่มมวลชนดังกล่าว เพื่อป้องกันเหตุบานปลาย ขณะเดียวกันมีการรายงานว่า มวลชนยังคงตะโกนด่าทออยู่เป็นระยะ และบางส่วนพยายามชูป้ายเขียนข้อความภาษากัมพูชา แต่ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่ามีข้อเรียกร้องหรือวัตถุประสงค์ใดที่ชัดเจนหวั่นปลุกระดมสร้างสถานการณ์ทั้งนี้ แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคงเปิดเผยว่า เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นหลายครั้งในช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เป็นการรวมตัวของชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ใกล้แนวชายแดน บางครั้งเกิดจากความไม่พอใจเรื่องรั้วลวดหนามที่เจ้าหน้าที่ไทยนำมาติดตั้งเพื่อควบคุมการเข้าออก บางครั้งคาดการณ์ว่าอาจมีกลุ่มการเมืองหรือผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังในการปลุกระดมมวลชนให้เข้ามากดดันไทย ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมรายงานไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อประเมินสถานการณ์และเตรียมมาตรการเจรจากับทางการกัมพูชา ในระดับทวิภาคี หากการชุมนุมยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องหรือมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่