คุณไพบูลย์ นลินทรางกูร ซีอีโอ บล.ทิสโก้ เสนอในเวทีสัมมนา FETCOxThaiBMA Investment Forum 2025 ถึงแนวทางเสริมสภาพคล่องในตลาดหุ้นไทยว่า “รัฐบาลควรพิจารณาให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ลงทุนในตลาดหุ้นเป็นเวลานาน โดยยกเว้นภาษีเงินปันผล (15%) ชั่วคราว หากผู้ลงทุนมีการถือหุ้นเกินระยะเวลา 1 ปีขึ้นไป เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนกลุ่มนี้ให้อยู่กับตลาดหุ้นให้นานที่สุด” ตอนนี้ กลุ่มนักลงทุนมั่งคั่งจำนวนมาก ได้เข้ามาลงทุนในหุ้นปันผลที่ยังให้ผลตอบแทนในระดับ 6–7% ต่อปีถ้ารัฐมีมาตรการสนับสนุนจะดึงเงินกลุ่มนี้ให้อยู่กับตลาดหุ้น ไม่ใช่บริษัทจ่ายเงินปันผลแล้วก็ขายหุ้นทิ้งทันทีคุณไพบูลย์ ยังเสนอไปถึง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ให้ปรับลดสัดส่วนน้ำหนักเงินกองทุนในธุรกิจประกันชีวิตและประกันภัยจากเดิม 25% ลงมาเหลือ 10-15% เพื่อนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นคุณไพบูลย์ เปิดเผยว่า จากการเก็บข้อมูล 3 ปีที่ผ่านมาพบว่า การถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติยังปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดเฉลี่ย 30% ส่วนประเด็นการเมืองเชื่อว่าหากมีการผ่านงบประมาณปี 2569 ออกมาได้ และมีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง แม้มีอะไรเกิดขึ้นกับการเมือง ก็คาดว่ามีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไม่มากนัก กรณีภาษีทรัมป์ แม้ไทยจะโดนเก็บภาษีที่ 36% ก็เชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยจะไม่หลุดระดับต่ำสุดเดิมที่ 1,060 จุด และแนวรับอยู่ที่ 1,100 จุดได้ ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นโลก ไม่ได้ตกใจเรื่องภาษีสหรัฐฯมากนัก ทุกคนเชื่อว่าทรัมป์คงไม่เลื่อนเก็บภาษีในรอบ 1 ส.ค.นี้อีก ถ้าไทยโดนเก็บในอัตรา 25% ตนมองว่าตลาดทุนน่าจะรับได้ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอของคุณไพบูลย์ครับ ดัชนีหุ้นถือเป็นสิ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อเศรษฐกิจโดยรวม การดูแลดัชนีราคาหุ้นสำคัญมากกว่าการเอาเงินภาษีไปแจกหาเสียงเสียอีก ยามใดที่ตลาดหุ้นเฟื่องฟู เศรษฐกิจไทยก็เฟื่องฟูตามผมได้ยกตัวอย่าง “ตลาดหุ้นญี่ปุ่น” หลายครั้งแล้ว ปกติคนญี่ปุ่นนิยมเก็บเงินไว้กับธนาคารเพื่อความปลอดภัย แม้จะได้ดอกเบี้ยติดลบก็ตาม ทำให้ญี่ปุ่นมีเงินฝากมหาศาล ขณะเดียวกันบริษัทญี่ปุ่นก็นิยมเก็บเงินสดไว้ไม่จ่ายเงินปันผล ทำให้บริษัทญี่ปุ่นมีเงินสดมหาศาลเช่นเดียวกัน แต่เศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับซบเซา รัฐบาลญี่ปุ่นจึงออกมาตรการกระตุ้นด้วยการให้บริษัทตลาดหุ้นญี่ปุ่นจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น เพื่อดึงดูดให้คนญี่ปุ่นนำเงินฝากมาลงทุนในตลาดหุ้น ปรากฏว่าได้ผลอย่างมาก ผ่านไป 5 ปี ข้อมูลล่าสุดปี 2567 พบว่า นักลงทุนรายย่อยญี่ปุ่นเอาเงินฝากมาลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 83.59 ล้านคนขณะเดียวกัน บริษัทในตลาดหุ้นญี่ปุ่นก็มีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกลับมาคึกคักเป็นอย่างมากสัปดาห์ที่แล้ว สำนักข่าวนิเกอิ รายงานว่า บริษัทญี่ปุ่นเตรียมจ่ายเงินปันผลแตะระดับสูงสุดเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน แม้จะต้องเผชิญกับแรงกดดันทางการค้ากับสหรัฐฯก็ตาม บริษัทญี่ปุ่นกว่า 2,300 บริษัทที่ปิดงบในเดือนมีนาคม คาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นอีก 3% ในปีนี้ ทำให้เงินปันผลแตะที่ระดับ 19.99 ล้านล้านเยน ประมาณ 136,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 4.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 66% เมื่อเทียบกับปี 2561 และมีบริษัทอีก 900 กว่าแห่งที่ประกาศจะเริ่มกลับมาจ่ายเงินปันผลในปีนี้ ทั้งที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวจะมีกำไรลดลง 7% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการลดครั้งแรกในรอบ 6 ปีเช่น โตโยต้า มอเตอร์ กำไรลดลง 35% แต่จ่ายเงินปันผลเพิ่มอีกหุ้นละ 5 เยน เป็น 95 เยน มิตซุย จ่ายปันผลเพิ่มอีกหุ้นละ 15 เยน เพื่อเป็นรางวัลแก่ผู้ถือหุ้นระยะยาวเรื่องดีๆอย่างนี้ ผมคิดว่ารัฐบาลและกระทรวงการคลังควรเอาอย่างทำทันที ผมเชื่อว่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยคึกคักขึ้น มีนักลงทุนระยะยาวเพิ่มขึ้น นักลงทุนรายย่อยที่ติดดอยก็ได้ลงจากดอย ทำให้มีกำลังซื้อมากขึ้น ในอนาคตบริษัทญี่ปุ่นจะ “จ่ายเงินปันผลอิงกับส่วนของผู้ถือหุ้น” (ROE) เพื่อให้เงินปันผลมีเสถียรภาพมากขึ้น ยิ่งคิดดีราคาหุ้นก็ยิ่งพุ่ง.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม