“ไวเหมือนกันนะ จะครบ 3 ปี ในเดือน มิ.ย.นี้แล้ว ทุกคนคงเซ็งกับบรรยากาศ ความหวัง ก็ไม่ค่อยมี มีแต่ข่าวร้ายทั้งนั้น แต่ 3 ปีที่ผ่านมา เราเห็นความหวังและโอกาสมากมาย จึงอยากมาเล่าให้ฟัง....” นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เปิดบทสนทนาก่อนเข้าสู่การแถลงผลงาน 3 ปี กทม. ภายใต้งาน ก้าวสู่ปีที่ 4 ขับเคลื่อนกรุงเทพฯสู่เมืองแห่งโอกาสและความหวัง“ความหวังและโอกาสของผมมีอยู่ 5% ที่อยากจะเล่า เรื่องแรก คือ ความร่วมมือร่วมใจ อย่างจริงจังของทุกคนจะเอาชนะสิ่งที่ยากได้ และเดินหน้าต่อไปได้ ยกตัวอย่าง การแก้ปัญหา ด้วยแอปพลิเคชัน Traffy Fondue ให้ประชาชน แจ้งปัญหาเข้ามา ณ วันที่ 6 พ.ค. มี 934,961 เรื่อง แก้ไปแล้ว 757,354 เรื่อง เป็นการปฏิรูประบบราชการ โดยไม่ต้องเปลี่ยนกฎหมายแต่ใช้กรอบอำนาจที่มี และไม่ได้ใช้งบประมาณเพิ่ม และจะให้คะแนนการทำงานให้ดาวผลงานแต่ละเขตเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเวลาที่จะเอาใครเข้าตำแหน่ง ในช่วงแรกที่ผมเป็นผู้ว่าฯ ปัญหา 1 เรื่อง ใช้เวลาแก้ 2 เดือน แต่ 3 ปีผ่านไป การแก้ปัญหาเหลือ 1.9 วันเฉลี่ยต่อเรื่อง”“กรุงเทพฯเต็มไปด้วยหาบเร่แผงลอย วันนี้ เราจัดระเบียบทั้งโบ๊เบ๊ให้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ถูกกฎหมายได้ รวมถึงหลังสวน ตลาดลาว นโยบาย ปลูกต้นไม้ล้านต้น ปลูกไปแล้ว 1,859,894 ต้น กว่าจะหมดสมัยน่าจะได้สองล้านกว่าต้น ได้เปลี่ยน เมืองให้มีต้นไม้เขียวขึ้นมากมาย ขณะที่สวน 15 นาที เพิ่มไปแล้ว 199 สวน จากเป้าหมาย 500 สวน ซึ่งจะทำให้ผู้สูงอายุและคนในชุมชนเข้ามาใช้ประโยชน์ เรื่องทางเท้าเมื่อก่อนคนเดินไม่ได้ กระเบื้องไม่เรียบ น้ำกระฉอกใส่หน้า ตั้งเป้าหมายไว้ 1,000 กม. ดำเนินการไปแล้ว 1,100 กม. เรื่องไฟส่องสว่าง ได้ติดไฟ LED ไป 115,000 ดวง จะเปลี่ยนอีก 20,000 ดวง เพื่อลดอุบัติเหตุเพิ่ม ความปลอดภัย เช่นเดียวกับเรื่องทางม้าลาย ปรับไปแล้วกว่า 2,100 แห่ง ส่วนการปรับความเร็วในกรุงเทพฯเหลือ 60 กม.ต่อชั่วโมง สามารถลดอัตราการตายจากอุบัติเหตุบนถนน ปีที่แล้ว ลดลง 9% และในปีนี้ 3 เดือนแรก ลดลง 16%”“โครงการไม่เทรวม ลดปริมาณขยะได้ 1,300 ตันต่อวัน ประหยัดค่าเก็บ 2,000 ล้านบาท ค่ากำจัดขยะ 1,200 ล้านบาท และเดือน ต.ค.นี้ ทุกคนจะมีส่วนร่วมจัดการขยะ จากที่เคยคิดว่ากรุงเทพฯแยกขยะไม่ได้จะเกิดผลเป็นรูปธรรม ด้านถนนสวย 50 เขต สามารถทำให้ถนนสวยอยู่ทั่วกรุงเทพฯ 57 เส้นทาง ระยะทางประมาณ 130 กม. และจะขยายผลให้เป็นอัตลักษณ์ใหม่ที่ดีขึ้นของกรุงเทพฯ”“ส่วนที่สอง เทคโนโลยีคือหัวใจที่จะเปลี่ยนเมืองเพิ่มประสิทธิ ภาพของเมืองได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่า จะเป็นห้องเรียนดิจิทัล การพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษด้วยการใช้ AI เข้ามาช่วยฝึกพูด ฝึกอ่าน การแก้ปัญหารถติดเป็นปัญหาโลกแตก ได้ติดตั้งสัญญาณไฟจราจรแบบอัตโนมัติเสร็จแล้ว 72 แยก จะขยายผลให้ครบ 500 แยก การใช้กล้อง AI จับรถบรรทุกควบคุมในช่วงที่มีฝุ่น ด้านการแก้ปัญหาทุจริต เป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญ มีการทำใบอนุญาตก่อสร้างออนไลน์ การขออนุญาตทั้งหมดต้องเข้าระบบ เพื่อให้ ตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงาน นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่เป็นประวัติศาสตร์ของ กทม. คือการตรวจสุขภาพประชาชนล้านคน มีการยกฐาน ข้อมูลสุขภาพขึ้นออนไลน์ โดยตรวจไปแล้ว 700,000 กว่าคน พบว่าส่วนใหญ่เป็นโรคไขมัน ในเลือดสูง โรคไต และโรคเบาหวาน”“ส่วนที่สาม สิ่งสำคัญของ กทม. คือคนรุ่นใหม่ มีพลัง มีประสบการณ์ร่วมสร้างเมือง ผลงานของเรา มีคนเก่งที่อยู่นอกองค์กรเข้ามาช่วยพัฒนาเว็บไซต์รับฟังความคิดเห็นแก้ พ.ร.บ.กรุงเทพฯ การส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ผ่านการจัดกิจกรรมเทศกาลตลอดทั้งปี มีการใช้ทูตสื่อสาร ส่วนสุดท้าย เป็นความ มีน้ำใจ ความเป็นมิตร พหุวัฒนธรรม และการช่วยเหลือกัน เช่น โครงการ BKK Food Bank ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง 50 เขต การเปิดกว้างและความหลากหลาย เช่น Pride Month การสมรสเท่าเทียม และมีการจ้างงาน คนพิการเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า”“บทเรียนของกรุงเทพฯ คือการเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส เหตุการณ์ที่ร้ายต้องเปลี่ยนเป็นเหตุการณ์ที่ดีให้ได้ สถานการณ์ฝนตกในปีแรกผู้ว่าฯโดนด่าเยอะมาก สองปี ที่ผ่านมาเราปรับจุดน้ำท่วมไปแล้ว 383 จุด ซึ่งเป็นตัวชี้วัดของเขตในการดำเนินงานด้วย และในปี 66–67 กทม.ลงโทษไล่ข้าราชการทุจริต 28 ราย โดยร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ตรวจสอบเคร่งครัด หัวใจในการทำงานคือ การสร้างความเชื่อมั่น ต้องทำให้กรุงเทพฯเป็นเมืองน่าอยู่ และมีประสิทธิภาพ และยังต้องมีความไว้วางใจ เราต้องให้ประชาชนไว้ใจเรา และเราต้องไว้ใจประชาชนด้วย” ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวปิดท้าย.อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่