วงการนักสืบในยุคปัจจุบันน้อยคนจะได้สัมผัสกลิ่นอายของผู้บุกเบิกรุ่นเก่าพล.ต.ต.ชูเดช มัชฉิมานนท์ ยอมรับว่า ตัวเองไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเทียบเท่าเพื่อนร่วมรุ่น จปร.6 อย่างชาญ รัตนธรรม, มนัส ครุฑไชยยันต์, ธนู หอมหวล แต่ฝีมือการทำงานไม่เป็นรอง เพราะมีดีเอ็นเอนักล่ากับสัญชาตญาณนักสืบเต็มตัวประเดิมเป็นรองสารวัตรโรงพักห้วยขวางรุ่นแรก ขึ้นสารวัตรประจำ กก.สส.น.เหนือ แล้วย้ายเป็น สวญ.สน.บางเขน ได้ 2 ปีโยกทำหน้าที่ “รองผู้กำกับสืบสวนเหนือ” นาน 4 ปี ขั้นเงินเดือนทะลุ ต้องไปเป็น ผกก.1 บก.รฟ. และเลื่อนเป็นรอง ผบก.รฟ.ได้บ่มเพาะวิชาจาก “ปรมาจารย์นักสืบ” ชั้นเยี่ยมจาก พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น ตำนานอธิบดีกรมตำรวจมือปราบเป็นจังหวะผู้เป็นนายหมดอำนาจ ทำให้เขาเคว้งคว้าง “ไร้แรงหนุน” ถูกดองนาน 9 ปี กว่าจะติดยศ “นายพล” เป็น ผบก.รฟ. และขึ้นผู้ช่วย ผบช.ก. ก่อนถูกส่งไปเป็นผู้ช่วย ผบช.ภ.1 ตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณ“ชีวิตนักสืบของผม มันที่สุดก็ตอนอยู่กองสืบสวนเหนือ กับพญาไท วิสามัญฆาตกรรมคนร้ายจริงๆ ไม่ได้จัดฉาก 7 ราย ช่วยกันทำคดีสำคัญมากมาย”อยู่เบื้องหลังการถ่ายทำมาตลอด ไม่เคยทิ้งงานสืบสวนเจ้าตัวบอกเคล็ดลับไว้ว่า มีสมุดบันทึกไว้เป็นเล่มติดตัวเสมอ เช่น คดี “ตี๋ใหญ่” ได้สืบสวนหาข้อมูลตั้งแต่โดนจับที่โรงพักบางซื่อ ข้อหาซ่องโจร เข้าไปซักประวัติ ขยายผลเครือข่ายมีใครบ้าง พอแหกห้องขังถึงเริ่มดังตำรวจนครบาลเริ่มสืบสวน พล.ต.ต.ชูเดชนำข้อมูลก่อนหน้าส่งต่อ เจริญ โชติดำรงค์, ทิพย์ อัศวรักษ์, สมเกียรติ พ่วงทรัพย์, กิตติโชติ แสงนิล, ผจญยุทธ สิงหะ, กฤษฎา พันธุ์คงชื่น และอีกหลายคนช่วยกันทำเป็นทีมนำไปสู่ตอนอวสานของดาวโจรชื่อกระฉ่อนในที่สุด.สหบาทคลิกอ่านคอลัมน์ “ส่องตำรวจ” เพิ่มเติม