สลดใจข่าวครอบครองปรปักษ์บ้านอากู๋ สาว 1 ใน 5 ผู้ต้องหาที่ถูกฟ้องบุกรุก ผูกคอตายคาบ้านย่านคันนายาว คาดเครียดจากคดีความและเป็นข่าว ด้านทนายความฝั่งคนตายโวยคู่กรณีใช้สื่อกดดันทำลูกความเครียดจนต้องจบชีวิต ขณะที่ทนายเดชาพร้อมหลานอากู๋ตั้งโต๊ะแถลงโต้ ยัน “อากู๋” ช็อกเสียใจพร้อมอโหสิกรรมให้ ชี้การร้องเรียนสื่อช่วยเหลือเป็นเรื่องปกติ เป็นการนำเสนอข่าวช่วยผู้เดือดร้อนให้ได้รับความเป็นธรรม ลั่นคุณธรรมต้องนำกฎหมาย ไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์แต่อยากให้ประชาชนคิดเอาเอง ส่วนหลานอากู๋บอกอยู่ระหว่างการปรึกษาจะทำอย่างไรต่อ กรณีถูกกล่าวโทษว่าใช้สื่อกดดันนั้น ฟังแล้วรู้สึกไม่ดี1 ในผู้ต้องหาบุกรุกบ้านอากู๋เครียดข่าวผูกคอตายคาบ้าน เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 26 ก.พ. ร.ต.อ.วิรัตน์ เมณฑ์กูล รอง สว. (สอบสวน) สน.คันนายาว รับแจ้งมีคนผูกคอเสียชีวิตในหมู่บ้านมัณฑนา รามอินทรา-วงแหวน ถนนกาณจนาภิเษก (คู่ขนาน) แขวงและเขตคันนายาว กทม. ไปตรวจสอบพร้อมแพทย์นิติเวชฯ รพ.ตำรวจ อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู ที่เกิดเหตุเป็นหมู่บ้านหรูมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าหมู่บ้านไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าเด็ดขาดจุดเกิดเหตุอยู่ซอย 2/6 บ้านเลขที่ 9/564 ติดป้ายบ้านทองคำ มีรั้วรอบขอบชิด เป็นบ้าน 2 ชั้น ในห้องนอนใหญ่มีห้องน้ำส่วนตัว ชั้น 2 พบศพ น.ส.ภาณุมาศ หรือณุ สามัคคี อายุ 52 ปี เจ้าของบ้านนอนหงายอยู่บนพื้นห้องน้ำในชุดนอนสีม่วง คานกระจกกั้นโซนเปียก-แห้ง มีผ้าปูที่นอนถูกตัดด้วยกรรไกรเป็นเส้นยาวม้วนทำเป็นเชือกผูกกับคานและบ่วงคล้องคอเสียชีวิตไม่เกิน 3 ชั่วโมงนายพลกฤษณ์ ทองคำ อายุ 49 ปี สามีผู้ตายเผยว่า พักอยู่กับผู้ตาย 2 คน เมื่อคืนและตอนเช้ายังพูดคุยกันตามปกติไม่มีวี่แววว่าจะก่อเหตุ ก่อนพบเป็นศพออกไปซื้อกับข้าวกลับมาถึงเวลา 07.40 น. ขึ้นไปเรียกแต่ห้องนอนล็อก ตะโกนเรียกและเคาะเท่าไหร่ไม่ตอบรับ ปีนออกหน้าต่างชะโงกดูทางช่องลมห้องน้ำเห็นภรรยาผูกคอกับคานที่กั้นโซนแห้ง-เปียก จึงปีนเข้าช่องลมนำตัวลงมาแล้วปั๊มหัวใจแต่ไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนไม่พบร่องรอยการต่อสู้ในที่เกิดเหตุ นำส่งชันสูตรนิติเวชฯ รพ.ตำรวจ หาสาเหตุการตายที่แท้จริงต่อไปสำหรับ น.ส.ภาณุมาศ เป็นหนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกแจ้งความคดีบุกรุกและมีเรื่องฟ้องร้องบ้านครอบครองปรปักษ์ กรณีเข้าไปครอบครองบ้านของ นายเหมทัศน์ ปราชญานุสิทธิ์ หรืออากู๋ จนเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก โดยบ้านหลังดังกล่าว เลขที่ 12/119 (62) หมู่บ้านฟายน์โฮม ซอยรามอินทรา 58 แยก 6-2 แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กทม. เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อปี 2534 อากู๋ เหมทัศน์ ซื้อบ้านไว้ ต่อมายกให้นายภคิน หรือซัน ทิมกุล หลานอากู๋เพื่อเป็นของขวัญวันแต่งงาน กระทั่งวันที่ 31 ส.ค.66 ไปดูบ้านพบว่าโดนเพื่อนบ้านยึด ต่อมา วันที่ 1 ก.ย.66 นายภคินรับมอบอำนาจจากอากู๋ แจ้งความคดีบุกรุกครั้งแรกกับผู้ต้องหาทั้ง 5 คน คือ น.ส.ศรีพรรณ สามัคคี น.ส.ภาณุมาศ สามัคคี ผู้ตาย นางนิตยา สามัคคี นายพลกฤษณ์ ทองคำ และนางมาลี ชินน้อยกระทั่งวันที่ 28 พ.ย.66 น.ส.ศรีพรรณ สามัคคี ยื่นคำร้องต่อศาลให้ออกคำสั่งครอบครองปรปักษ์กับบ้านหลังดังกล่าว เมื่อนายภคิน หลานชายอากู๋ทราบเรื่อง มอบอำนาจให้ทนายความฟ้องแพ่ง และในส่วนของคดีอาญาข้อหาบุกรุก ครั้งที่ 2 กับ น.ส.ศรีพรรณ รายนี้เพียงคนเดียว ในวันที่ 8 ก.พ.67ส่วนความคืบหน้าหลัง น.ส.ภาณุมาศผูกคอตาย เมื่อเวลา 11.30 น. นายพลกฤษณ์และญาติผู้เสียชีวิตมายื่นเอกสารและให้การกับพนักงานสอบสวน สน.คันนายาว โดยญาติผู้ตายเผยว่า ผู้เสียชีวิต พักอยู่กับสามีคงเครียดหลังจากเป็นข่าว ไม่ทราบว่ามีปัญหาอื่นรุมเร้าหรือมีโรคประจำตัวอะไรหรือไม่ ส่วนอุปนิสัยใจคอผู้ตายเป็นคนชอบทำบุญเข้าวัดสวดมนต์ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวโทรศัพท์สอบถามนายวัฒนา เรืองแก้ว ทนายความ 5 ผู้ต้องหาคู่กรณีข้อพิพาทกับเจ้าของบ้านเพื่อเข้าครอบครองปรปักษ์ระบุว่า ที่ผ่านมาผู้เสียชีวิตเคยบ่นกับคนรอบตัวและมาปรึกษาตนว่าเครียดจากคดีที่เกิดขึ้น ประกอบกับมีโรคประจำตัวร้ายแรงแต่ไม่ได้เปิดเผยว่าเป็นอะไร ส่วนสาเหตุของการเครียดครั้งนี้เนื่องจากเจ้าของบ้านตัวจริงใช้สื่อนำเสนอเรื่องดังกล่าวและใช้สื่อกดดันแทนที่จะเจรจาหรือใช้ข้อกฎหมาย จากนี้จะต้อง พูดคุยกับญาติรวมถึงลูกความคนอื่นๆถึงขั้นตอนการดำเนินการทางคดีต่อ แต่ส่วนของคดีอาญาที่เกิดขึ้นกับผู้เสียชีวิตถือว่าสิ้นสุดเพราะผู้เสียชีวิตเสียชีวิตไปแล้วไล่เลี่ยกัน น.ส.อำนวยพร มณีวรรณ์ ทนายความฝ่ายเจ้าของบ้าน หรือฝ่ายอากู๋ เปิดเผยว่า หลังทราบเรื่องรีบเดินทางมา สน.คันนายาว สอบถามกับพนักงานสอบสวนโดยยังไม่ได้พูดคุยกับลูกความและญาติอดีตคู่กรณี ต้องขอแสดงความเสียใจกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น ส่วนการที่ทนายความคู่กรณีออกมาให้ข้อมูลว่า สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ลูกความใช้สื่อมวลชนกดดันจนผู้เสียชีวิตเครียดจนฆ่าตัวตายนั้น เห็นว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน ไม่น่าจะเป็นการกดดันจนทำให้ผู้เสียชีวิตเกิดความเครียด สำหรับข้อพิพาทที่เกิดขึ้น เริ่มจากฝ่ายเจ้าของบ้านตัวจริงแจ้งความดำเนินคดีบุกรุกผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 5 คน มีผู้ตายรวมอยู่ด้วยเข้าไปยึดครองบ้านหลังดังกล่าว ขณะนี้คดีอยู่ในชั้นพิจารณาสั่งฟ้องของพนักงานอัยการ เบื้องต้นมีกำหนดสั่งฟ้องในวันที่ 6 มีนาคม แต่หลังจาก 1 ในผู้ถูกกล่าวหาเสียชีวิต พนักงานอัยการจะสั่งไม่ฟ้องกับผู้เสียชีวิตรายนี้ จำหน่ายออกจากคดีไปในส่วนนี้เป็นคดีในภาคแรกน.ส.อำนวยพรกล่าวต่อว่า ต่อมาเกิดเรื่องภาค 2 ขึ้น เมื่อ 1 ในผู้ถูกกล่าวหาคือนางศรีพรรณ สามัคคี ไปยื่นคำร้องต่อศาลให้ออกคำสั่งครอบครองปรปักษ์กับบ้านหลังดังกล่าว เมื่อเจ้าของบ้านตัวจริงทราบเรื่อง มอบอำนาจให้ทนายความไปยื่นเรื่องคัดค้านและฟ้องขับไล่ เรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง คิดเป็นค่าเช่าเดือนละ 20,000 บาท ย้อนหลัง 6 ปี ส่วนคดีอาญา เจ้าของบ้านตัวจริงแจ้งความข้อหาบุกรุกกับ น.ส.ศรีพรรณเพียงคนเดียว ผู้ตายไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีภาค 2 ตนขออโหสิกรรมเชื่อว่าอากู๋ก็รู้สึกอย่างตน ขอแสดงความเสียใจต่อกลุ่มผู้ต้องหาทั้งหมด ไม่คิดจะกดดันอะไร เพียงแต่ทุกคนทำตามหน้าที่ ก็ต้องรักษาสิทธิลูกความที่สุดตามข้อเท็จจริง ต่อมาเวลา 15.00 น. ที่สำนักงานทนายคลายทุกข์ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ นายภคิน ทิมกุล หรือซัน หลานอากู๋ น.ส.อำนวยพร มณีวรรณ์ ทนายความร่วมแถลงข่าว โดยนายเดชาเผยว่า ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อากู๋เองก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน ขออโหสิกรรมให้ แต่ที่คาใจคือการที่ทนายความคู่กรณีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า มีการใช้สื่อเป็นเครื่องมือกดดันจนเป็นเหตุให้ผู้เสียชีวิตตัดสินใจฆ่าตัวตายนั้นคงไม่ใช่สาเหตุหลัก เพราะการร้องเรียนสื่อมวลชนเพื่อเป็นปากเป็นเสียงให้ช่วยเหลือนั้นเป็นเรื่องปกติ เป็นการนำเสนอข่าวช่วยเหลือผู้เดือดร้อนให้ได้รับความเป็นธรรม เห็นว่าทนายคู่กรณีไม่มีความรับผิดชอบ แนะนำให้ลูกความไปบุกรุกครั้งที่ 2 หรือไม่ เป็นทนายความต้องมีจรรยาบรรณต่อวิชาชีพ คุณธรรมต้องนำกฎหมาย ผู้ถูกกล่าวหามีความเชื่อมั่นทนายคนล่าสุดมากว่าจะนำบ้านมาเป็นของตัวเองได้ ส่วนจะหลอกเอาเงินหรือไม่ ไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์ แต่อยากให้ประชาชนคิดเอาเองนายเดชากล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ สามีผู้ตายกับสามีผู้ถูกกล่าวหาอีกคนมาพบตนและโทรศัพท์มาพูดคุยว่า ภรรยาสำนึกผิดในการบุกรุกเข้าไปในบ้านอากู๋ ยินดีแสดงความรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด และติดต่อไปยังอากู๋ ต้องการที่จะเข้ากราบอากู๋ก่อนที่จะเสียชีวิต มีความพยายามหลายครั้ง ตนพยายามที่จะเป็นคนกลางช่วยคุยกับอากู๋ ทั้งค่าเสียหายและเรื่องคดีต่างๆ แต่อาจเป็นเพราะการเจรจายังไม่ไปถึงไหน อาจทำให้เกิดความเครียด ตัดสินใจก่อเหตุขึ้น สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นผู้เสียชีวิตก็เสียใจ พยายามเยียวยาค่าเสียหาย คนที่ร้องศาลให้มีคำสั่งครอบครองปรปักษ์ไม่ใช่ผู้เสียชีวิต แต่เป็นพี่สาวผู้เสียชีวิต ผู้เสียชีวิตรู้สึกสำนึกในการกระทำพร้อมเยียวยาค่าเสียหาย โดยส่งข้อความผ่านไลน์ให้ทนายความและแฟนนายภคิน หรือซัน ทิมกุล หลานอากู๋ เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ระบุว่า “ยังไงก็คิดซะว่าทำบุญให้คนป่วยแบบพี่ด้วยนะค่ะ” ส่วนตัวเพิ่งเคยเห็นคดีแรกที่ทนายความทำคดีแล้วลูกความเครียดจนเสียชีวิต ยังไม่คิดถึงเรื่องการยื่นให้สภาทนายความตรวจสอบจริยธรรมของทนายความคู่กรณี ขึ้นอยู่กับนายซันจะร้องเรียนไปหรือไม่ แต่ตอนนี้อากู๋บอกแค่ว่าอยากให้มีการไกล่เกลี่ยโดยใช้กระบวนการทางกฎหมาย อากู๋เองทั้งเสียใจและช็อกด้านนายภคิน หรือซัน หลานชายของอากู๋ กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต เรื่องแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ฝ่ายตนพร้อมที่จะเจรจาไกล่เกลี่ยที่ชั้นศาลไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ส่วนกรณีทนายความคู่กรณีกล่าวโทษว่าฝ่ายตนพยายามใช้สื่อกดดันนั้น ฟังแล้วทำให้รู้สึกไม่ดี ขณะนี้กำลังปรึกษากันว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ ทราบมาว่า ผู้ถูกกล่าวหาเตรียมยื่นเรื่องขอเจรจาและจะถอนฟ้องคดีครอบครองปรปักษ์ แต่ตรวจสอบแล้วพบว่ายังไม่ได้ถอนผู้ต้องหาพยายามที่จะติดต่อมา พูดตรงๆว่าก่อนหน้านั้นก็ยังโกรธอยู่เพราะบุกรุกมาซ้ำซ้อน แต่ตอนนี้ผ่านจุดนั้นมาแล้วเรื่องนี้จะขอว่ากันอีกที ส่วนการจะขายบ้านหลังนี้ให้คู่กรณีหรือไม่ รวมทั้งดำเนินการกับคู่กรณีที่เหลืออย่างไร ต้องขอสอบถามพูดคุยกับอากู๋ก่อน เพราะตอนนี้ยังคงช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเสียใจอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่