นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เป็นตัวแทนประเทศไทยขึ้นกล่าวถ้อยแถลงในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในการประชุมระดับสูงของการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 27 (COP 27) ที่สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ ว่า ประเทศไทยวางแผนในการลดก๊าซเรือนกระจก และก้าวเข้าสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี ค.ศ.2065 และความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ.2050 โดยตั้งเป้าในการลดคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณก๊าซเรือนกระจกจาก 388 ล้านตันต่อปี ลงไปเหลือ 120 ล้านตันต่อปี ส่วนแผนระยะสั้น ประเทศไทยมีแผนการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ซึ่งจากนี้ไปจนถึงปี ค.ศ.2030 เราตั้งใจว่าจะลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 40%รมว.ทส.กล่าวต่อว่า เราไม่ได้เป็นประเทศที่มีดีแต่พูด ขณะนี้ได้ทำตามสัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่ผ่านมาได้ผลักดันแผนงานต่างๆ เริ่มจากที่ลงนามสัญญากับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นประเทศคู่แรกในโลกที่ได้เซ็นสัญญาแลกเปลี่ยนซื้อขายคาร์บอนเครดิต โดยไทยให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างสมดุลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามโมเดลเศรษฐกิจ (BCG) ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางหลักในการพัฒนาแผนการปรับตัวระดับชาติ ส่งเสริมให้ชุมชนมีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ“1 ปีหลังจากนี้ ประเทศไทยจะนำไปเสนอต่อเวที COP 28 ที่กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่า จะมีการดำเนินการอย่างไรและจะมีสิ่งที่เป็นรูปธรรมอะไรออกมาบ้าง ซึ่งในแต่ละปีที่ผ่านไป สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ น้ำท่วม ภัยแล้ง เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าปีหน้าประเทศไทยจะประสบปัญหาอะไรบ้าง แต่สิ่งที่สำคัญคือเราต้องเริ่มการเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวนี้แน่นอน ไม่ใช่เรื่องง่ายในการที่จะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตหรือพฤติกรรมของคนหนึ่งคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนทั้งประเทศ 67 ล้านคน ดังนั้นจึงเป็นความท้าทายในการทำงานให้ชาวโลกได้ประจักษ์” นายวราวุธกล่าว.