ปัญหาหมูแพงกลายเป็นก้างชิ้นโตตำคอรัฐบาล โดยเฉพาะกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทั่งมีบางคนบางกลุ่มเสนอให้นำเข้าหมู เพื่อเพิ่มปริมาณหมูในประเทศให้มากขึ้น...แนวทางนี้จะแก้ปัญหา หรือจะขุดหลุมฝังคนเลี้ยงหมูในประเทศกันแน่“การแก้ปัญหาราคาหมู ภาครัฐควรต้องพิจารณามาตรการต่างๆอย่างรอบคอบไม่ใช่แก้จุดหนึ่งแต่ทำให้เกิดปัญหาในอีกจุด โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเอาง่ายเข้าว่า ด้วยการนำเข้าหมูที่จะนำมาซึ่งปัญหาระยะยาวให้ประเทศไม่รู้จบ เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูไทยจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุด ตามมาด้วยห่วงโซ่การผลิตทั้งระบบ สุดท้ายจะเป็นบูมเมอแรงไปถึงผู้บริโภค และทำลายจุดแข็งของประเทศที่วาดฝันเป็นครัวของโลก” ปรีชา กิจถาวร นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ เตือนรัฐบาลด้วยความหวังดี...หากภาครัฐจะแก้ปัญหาขายผ้าเอาหน้ารอดด้วยการนำเข้าหมูมาเพิ่มปริมาณหมูในประเทศ จะเกิดความเสียหายต่อประเทศมากมาย ประการแรกที่สะท้อนแจ่มชัดที่สุดไม่ต่างจากการกลืนน้ำลายตัวเอง เพราะสวนทางกับมาตรการของรัฐที่ต่อสู้กับหมูนำเข้ามาตลอด เพื่อปกป้องคนไทยจากสารเร่งเนื้อแดงที่หลายประเทศใช้ได้อย่างเสรี ซ้ำร้ายที่ผ่านมารัฐยังมุ่งสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรที่เลิกเลี้ยงกลับมาเลี้ยงหมูหากเปิดให้นำเข้า การสร้าง แรงจูงใจที่ทุ่มงบไปก็สูญเปล่า เพราะเกษตรกรทุกคนทราบดี ไม่มีทางที่ต้นทุนการผลิตหมูของไทยจะต่ำกว่าต้นทุนการผลิตของประเทศในแถบตะวันตก ที่มีต้นทุนแค่เพียง กก.ละ 35-40 บาท ในขณะที่ไทยต้นทุนตก กก.ละ 100-120 บาท “ต้นทุนการผลิตหมูของเขาต่ำกว่าเรามาก เพราะเขาเลี้ยงหมูแบบอุตสาหกรรมมาตรฐานเป็นฟาร์มใหญ่ประสิทธิภาพสูงไม่ใช่ฟาร์มหมูขนาดเล็กที่มีมากมายแบบบ้านเรา ขณะเดียวกันประเทศตะวันตกยังมีพื้นที่ปลูกพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์ขนาดใหญ่เป็นเมกะฟาร์ม มีเทคโนโลยีการเก็บเกี่ยว การลดความชื้น ขั้นตอนทุกอย่างดีกว่าไทยทุกด้าน ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์จึงถูกมาก ยังไม่นับรวมมาตรการมากมายที่ออกมาอุดหนุนเกษตรกร เพราะรัฐบาลในประเทศพัฒนาแล้วมองว่าเกษตรกรเป็นสมบัติอันมีค่าของประเทศที่ต้องรักษาคุณภาพชีวิตเกษตรกรเขาจึงดีกว่าของเรามาก ต่างจากบ้านเรา เกษตรกรมักถูกมองว่าเป็นภาระของประเทศ รอคอยแต่ความช่วยเหลือ”ประการต่อมา การปฏิบัติต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูของไทยเป็นไปในทิศทางตรงข้าม ยามเมื่อเขาขาดทุนสะสม 3 ปี ไม่เคยมีการเหลียวแลช่วยเหลือ วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ต้องนำเข้ามีราคาสูงจากการขนส่งแล้ว รัฐยังเก็บภาษีและค่าธรรมเนียม ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตหมูสูงขึ้นไปอีกและที่ผ่านมารัฐพิจารณาปัญหาปากท้องของผู้บริโภคเป็นหลัก แต่ละเลยปากท้องของ เกษตรกรมาตลอด เมื่อใดที่ราคาหมูแพงเกษตรกร ต้องถูกกดราคาขายให้อยู่ในราคาควบคุมเสมอ ประการที่สาม เนื้อหมูนำเข้ามีความเสี่ยง ที่จะนำโรคจากต่างประเทศเข้ามาด้วย เนื่องจากแต่ละประเทศต่างมีโรคประจำถิ่นของตนเอง การปล่อยให้ชิ้นส่วนหมูเข้ามาจึงมีความเสี่ยงก่ออันตรายต่อหมูไทยและยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ให้รุนแรงขึ้น ขณะที่หมูนำเข้าต้องเข้ามาในรูปแบบเนื้อหมูแช่แข็งที่เชื้อไวรัสหลายตัวมีความทนทานมากอยู่ได้นานนับปีที่อุณหภูมิแช่แข็ง หากหลุดเข้ามา ปนเปื้อนในสภาพแวดล้อมของไทยย่อมส่งผลกระทบหนักต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรมอาหารประการสุดท้าย เมื่อไม่มีเกษตรกรกล้าเลี้ยงหมูอีกย่อมเท่ากับทำลายผู้ผลิตอาหาร ทำลายความมั่นคงทางอาหารของประเทศ ทำให้คนไทยต้องพึ่งพาหมูต่างชาติตลอดเวลา ไม่สามารถเลี้ยงหมูกินเองได้เหมือนในอดีต เมื่อนั้นหายนะจะส่งตรงถึงทุกครัวเรือน ผลกระทบจะเกิดเป็นโดมิโนไปถึงเกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์ร่วม 7 ล้าน ครัวเรือน ภาคเวชภัณฑ์ ผู้ผลิตอุปกรณ์การเลี้ยง ระบบขนส่ง จนถึงภาคธุรกิจอื่นๆตลอดห่วงโซ่ที่ต้องล่มสลายไปพร้อมกัน ถือเป็นการบั่นทอนความมั่นคงทางอาหารของประเทศเต็มรูปแบบนำเข้าหมูเท่ากับฆ่าตัดตอนเกษตรกร ฤา อาชีพคนเลี้ยงหมูจะกำลังกลายเป็นตำนานให้ลูกหลานได้เล่าขาน ครั้งหนึ่งประเทศเราเคยมีอาชีพนี้.กรวัฒน์ วีนิล