ธนาคารปูม้าชาวบ้านทำกันมานับสิบปี แต่มิใคร่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร...แม้จะสามารถเพาะพันธุ์ลูกปูออกมาได้ตามภูมิปัญญาดั้งเดิม แต่ยังขาดองค์ความรู้ในเรื่องการอนุบาล เทคนิคการปล่อยลูกปูให้มีอัตรารอดสูงเลยทำให้ลูกปูมีอัตรารอดต่ำ ไข่ 1 ล้านฟอง เหลือรอดแค่ 500 ตัวจึงไม่น่าแปลกใจที่สถิติตัวเลขการจับปูม้าใน ปี 2541 บ้านเราจับปูม้าได้ 46,678 ตัน มาปี 2557 ลดเหลือแค่ 23,890 ตัน และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ...ปี 2561 ครม.จึงมีมติให้ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) รับผิดชอบบูรณาการธนาคารปูม้า วางเป้าหมาย 2 ปี ให้ได้ธนาคารปูม้า 500 แห่งนับจากนั้น งานวิจัยต่างๆ เกี่ยวกับปูม้าที่มีอยู่แล้ว อาทิ เรื่องของระบบนิเวศ อัตรารอดลูกปูแหล่งที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม ปัจจัยแวดล้อม รวมถึงชีววิทยา วงจรชีวิตของปู จึงถูกหยิบมาจากหิ้ง นำมาผนึกกับองค์ความรู้ดั้งเดิม กลายเป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างเทคโนโลยี องค์ความรู้ทางวิชาการ และภูมิปัญญาชาวบ้านชาวบ้านได้เรียนรู้องค์ความรู้เพิ่มเติม อาทิ ควรปล่อยลูกปูในความเค็มไม่ต่ำกว่า 27 ppt ไม่ปล่อยตอนน้ำขึ้นหรือลง เพราะกระแสน้ำจะพัดลูกปูขึ้นฝั่ง ควรปล่อยกลางวัน เพราะอุณหภูมิในภาชนะที่ใส่ปูไม่ต่างจากอุณหภูมิในท้องทะเลมากนัก ทำให้ลูกปูปรับตัวไม่ยาก อัตรารอดก็เพิ่มขึ้นช่วงเวลาเพียงปีเศษ จ.ชายทะเลของไทยมีธนาคารปูม้าถึง 531 แห่ง ปล่อยปูม้าลงสู่ทะเลได้ถึงเดือนละ 25 ล้านตัว คิดเป็นน้ำหนักปู 5 ล้าน กก. สร้างเม็ดเงินให้กับชุมชนชาวประมงไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาททำให้ปี 2561 จับปูได้กว่า 40,000 ตัน ใกล้เคียงกับช่วงที่เคยจับได้มากที่สุดในปี 2541 ก่อให้เกิดอาชีพมัดปู และแกะเปลือกปู สร้างงาน สร้างเม็ดเงินให้กับผู้ว่างงาน กลุ่มแม่บ้าน และคนชรา วันละไม่น้อยกว่า 400 บาทสร้างรายได้หมุนเวียนให้เกิดในชุมชนท้องถิ่น บางชุมชนขยายผลสู่โฮมสเตย์ สร้างรายได้สู่ชุมชน ขณะที่เด็กๆ ได้ปฏิบัติจริง เรียนรู้ภาษา และการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ.