นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เผยถึงผลการศึกษาศักยภาพการผลิตและการตลาดสินค้าปลานิล ในพื้นที่โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ปลานิลบ่อดิน 32 แปลง ในพื้นที่ 21 จังหวัด รวม 23,152 ไร่ ของเกษตรกร 2,204 ราย พบว่า เกษตรกรในโครงการแปลงใหญ่ มีต้นทุนการผลิตไร่ละ 34,139.67 บาทต่อรุ่น ได้ผลผลิตไร่ละ 1,192.07 กก. เกษตรกรขายได้ราคา กก.ละ 42.19 บาท ได้ผลตอบแทนไร่ละ 50,293.43 บาท เมื่อหักต้นทุนการผลิตทำให้เกษตรกรได้ผลตอบแทนสุทธิไร่ละ 16,153.76 บาท หรือมีกำไร กก.ละ 13.55 บาท ในขณะที่เกษตรกรนอกพื้นที่แปลงใหญ่จะมีต้นทุนการผลิตไร่ละ 42,079.63 บาทต่อรุ่น ได้ผลผลิตไร่ละ 1,345.43 กก. เกษตรกรขายได้ราคา กก.ละ 41.53 บาท ได้ผลตอบแทนไร่ละ 55,875.71 บาท สรุปแล้วได้ผลตอบแทนสุทธิไร่ละ 13,796.08 บาท หรือมีกำไร กก.ละ 10.25 บาท“จะเห็นได้ว่าการเลี้ยงนอกพื้นที่แปลงใหญ่ นอกจากจะมีต้นทุนสูงกว่า ได้ผลผลิตน้อยกว่า ยังขายได้ราคาต่ำกว่าอีกด้วย เนื่องจากไม่มีการรวมตัว อำนาจต่อรองจึงไม่มี เลยทำให้การเลี้ยงแบบใหญ่ทำกำไรได้สูงกว่าถึงไร่ละ 2,357.68 บาท หรือได้กำไรเพิ่มขึ้น 17%” เลขาธิการ สศก.กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม เกษตรกรเลี้ยงปลานิลในบ่อดินทั้งในและนอกพื้นที่โครงการแปลงใหญ่ ยังขาดการจัดสรรปัจจัยการผลิตอย่างเหมาะสม เช่น ยังมีการปล่อยลูกพันธุ์น้อยกว่าอัตราปล่อยลูกพันธุ์ที่กรมประมงแนะนำ 5,000-8,000 ตัวต่อไร่ และมีการใช้อาหารเม็ดสำเร็จรูปปริมาณมาก ทำให้เกิดความสูญเปล่าจากการใช้อาหารเม็ดมากเกินไป ดังนั้น เกษตรกรทั้งในและนอกพื้นที่โครงการแปลงใหญ่ควรเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรปัจจัยการผลิตในการเลี้ยงให้เหมาะสมคือ อัตราการปล่อยลูกพันธุ์และปริมาณอาหารเม็ดสำเร็จรูปตามคำแนะนำจากกรมประมง และส่งเสริมกิจกรรมทางด้านการตลาดที่สนับสนุนให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มเพื่อนำไปสู่การแปรรูป และมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ให้มากขึ้น.