การชุมนุม “ฮ่องกง” รูปแบบใหม่ ยกระดับขยายมวลชนรวดเร็ว มีบรรดาหนุ่มสาวและวัยรุ่นเป็นแนวหน้าออกมาประท้วงครั้งนี้ มาจากวิวัฒนาการใช้เทคโนโลยีสื่อสารเข้ามามีบทบาทเป็นเครื่องมือ “แสดงพลังทางการเมือง” ผ่านโลกโซเชียลมีเดีย ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และวอทส์แอพในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร รูปภาพ หรือวิดีโอ ส่งต่อตามกรุ๊ปแชตบนแอปพลิเคชัน ให้เกิดความเร้าอารมณ์ ชักชวนคนออกมาชุมนุมประท้วงตามท้องถนน สร้างความรู้สึกโกรธแค้นกับฝ่ายตรงข้ามทวีความรุนแรงวิวัฒนาการนี้เริ่มใช้กันมาตั้งแต่ปี 2546 ในการชุมนุมแสดงพลังระงับออกกฎหมายความมั่นคง ครั้งนั้นใช้เว็บไซต์เป็นเครื่องมือกระจายข้อมูลข่าวสาร และใช้โทรศัพท์มือถือชักชวนกันออกมาชุมนุม จากกลุ่มเล็กขยายเป็นกลุ่มใหญ่จนประสบความสำเร็จถัดมาปี 2557 เกิดขบวนการ “ปฏิวัติร่วมต่อต้านประเทศจีน” ใช้อิทธิพลต่อการเลือกตั้ง ส่งสัญญาณว่า “ฮ่องกง” ไม่ได้อยู่ภายใต้รัฐบาลจีน ในตอนนั้นกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมก็ใช้ “แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย” เข้ามามีอิทธิพลเชื่อมยกระดับการชุมนุมประท้วงให้ร้อนระอุรุนแรงลักษณะคล้ายสถานการณ์ทางการเมืองของปีนั้น...ตรงกับในประเทศไทยยุคใหม่ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการชุมนุมประท้วงนี้ รศ.ดร.วิทยาธร ท่อแก้ว อาจารย์ประจำแขนงวิชานวัตกรรมการสื่อสารทางการเมือง และการปกครองท้องถิ่น ม.สุโขทัยธรรมาธิราช มองว่า การชุมนุมประท้วงของชาวฮ่องกง คัดค้านร่างกฎหมาย “ส่งผู้ร้ายข้ามแดน” ทั้งนักกฎหมาย จนถึงคนรุ่นใหม่ เพราะไม่ไว้วางใจกับรัฐบาลจีน เกรงว่าเมื่อกฎหมายนี้ออกมาบุคคลธรรมดาอาจถูกยัดเยียดข้อกล่าวหา นำส่งตัวไปลงโทษในรัฐบาลจีนสิ่งสำคัญ “ฮ่องกง” เกรงว่า “รัฐบาลจีน” เข้าแทรกแซงมากขึ้น แม้ “นางแคร์รี่ แลม” ประธานผู้บริหารเขตบริหารพิเศษแห่งฮ่องกง ยืนยันว่าระงับร่างกฎหมายแล้ว แต่คงค้างในสภานิติบัญญัติ ทำให้ผู้ชุมนุมใช้โซเชียลฯ กระจายข้อมูลข่าวสาร มีทั้งข้อมูลจริงและข้อมูลเท็จ กลายเป็นสถานการณ์คุกรุ่นควบคู่ความไม่ชัดเจนมาตลอดจุดพลิกผันก็เกิดขึ้นคืนวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา มีกลุ่มคนใส่เสื้อสีขาว ปรากฏตัวทำร้ายผู้ชุมนุมคัดค้านกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ที่สถานีรถไฟหยวนหลง ใกล้ชายแดนจีน จนถูกมองว่า มีหน่วยแทรกซึมที่ไม่ใช่ภาคมวลชน เรียกว่า “กลุ่มมือที่สาม” สร้างสถานการณ์...กลายเป็นตัวจุดชนวนใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นในที่สุดเหตุการณ์นี้ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อโซเชียลฯ ทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย...มีประชาชนไม่พอใจออกมาร่วมชุมนุมเพิ่มขึ้น สุดท้ายเกิดการปะทะระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมค้านกฎหมายและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้วยการใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม และมีแนวคิดยึดสนามบินตามมา...เมื่อมาวิเคราะห์ลำดับการก่อตัว “ไดนามิก” หรือ “พลวัต” จากกลุ่มผู้ชุมนุมชาวฮ่องกง และ “มูฟเมนต์” หรือ “การเคลื่อนไหว” มีสาเหตุจาก “ประเด็นปัญหา” ที่มาจากกิจกรรมรัฐบาล หรือกลุ่มผู้ใช้อำนาจในประเทศจนมีบุคคลไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนั้น และออกมาชุมนุมประท้วง กดดันตามท้องถนน ที่เรียกกันว่า “พลวัตทางการเมือง”ทว่า...พลวัตทางการเมือง นี้ ยังมี “โซเชียลฯ” เข้ามาเสริมเพิ่มบทบาทในการ “ขยายประเด็นปัญหา” จากคนที่ไม่เคยสนใจหรือไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย “ส่งผู้ร้ายข้ามแดน” มีการเรียนรู้ผ่านโซเชียลฯ จากขบวนการปั่นกระแสแชร์ออกไปต่างๆนานา จนเกิดการคล้อยตามกัน...มีความรู้สึกไม่น่าวางใจตามไปด้วยเรื่องที่แชร์ต่อๆกันมา...มีทั้งเรื่องจริง เรื่องลวง และเรื่องหลอก เช่น ข้อความคนฮ่องกง ทำผิดอาจถูกนิยามกลายเป็นก่อการร้าย ส่งผู้ร้ายข้ามแดน นำตัวไปลงโทษยังรัฐบาลจีน ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวฮ่องกงยอมรับไม่ได้“โซเชียลฯมีบทบาทขยายมวลชนเพิ่มขึ้น ที่เกิดจากกลุ่มผู้นำผู้ก่อประเด็น และปั่นกระแสเติมเชื้อเพลิงทางความคิด นำมาสู่การขยายมวลชน แสดงออกของประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น ด้วยการออกมาร่วมประท้วง ถือป้ายเต็มท้องถนน หรือออกมาสื่อสารแสดงสัญลักษณ์ความไม่พอใจ” รศ.ดร.วิทยาธร ว่าย้อนกลับมาที่ประเทศไทย...มีวิวัฒนาการทางการเมืองคล้ายกับฮ่องกง มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการปั่นกระแสการชุมนุมประท้วง ตั้งแต่ปี 2535 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ประชาชนเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นนายกฯ และต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติครานั้นโทรศัพท์มือถือกำลังรุ่งเรือง ถูกนำมาใช้แจ้งข่าวสารแบบ “ข้อความสั้น” และพูดคุยสนทนาทางการเมืองผ่านโทรศัพท์มือถือ มีการชักชวนกันออกมาชุมนุม ในครั้งนี้ถูกเรียกว่าเป็น “ม็อบมือถือ”...ปี 2549 มีการคัดค้านการบริหารงานรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ มีข้อมูลคุกรุ่นเรื่องบริหารราชการ นำไปสู่ “ทุจริตคอร์รัปชัน” ในช่วงนี้เป็น “ยุคโทรทัศน์ดาวเทียมและวิทยุชุมชน” ถูกแบ่งค่าย...แบ่งเลือกข้างชัดเจน...ต่างฝ่ายต่างใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารโจมตีกัน สร้างมวลชนออกมาชุมนุมประท้วงกันจนเกิดรัฐประหารมาถึงรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯปี 2557 ร่างกฎหมายลักหลับ “นิรโทษกรรมสุดซอย” จนไม่พอใจ ยุคนี้ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน และสื่อโซเชียลฯ เป็นเครื่องมือ “ทรงพลัง” สร้างกระแสชุมนุมทางการเมืองในการส่งข้อมูลข่าวสาร ภาพนิ่ง หรือคลิปวิดีโอ รายงานเหตุการณ์เคลื่อนไหวอย่างทั่วถึงทุกวัย กลายเป็นปรากฏการณ์มวลชน มีส่วนร่วมกิจกรรมทางการเมือง สนับสนุนทางความคิด แบ่งปันข้อมูลผ่านโซเชียลฯนำมาสู่การชุมนุมประท้วงตามถนนจนเกิดความรุนแรงและ คสช.ยึดอำนาจตามมา...ปัจจุบันต้องยอมรับว่า “พลังอิทธิพลสื่อโซเชียลฯ” มีบทบาทช่วยปั่นกระแสทางการเมือง สามารถนัดหมายในการชุมนุมง่าย รวดเร็วขึ้น และได้ทุกเมื่อ แถมยังรายงานเหตุการณ์ได้ทุกวินาที ให้คนเกิดอารมณ์ร่วมชุมนุม อีกทั้งยังถ่ายทอดสดการปราศรัยบนเวทีเพื่อโน้มน้าวใจให้คล้อยตาม ที่เรียกว่า “ปฏิบัติการแย่งชิงมวลชน”และการชุมนุมมีรูปแบบเปลี่ยนแปลงสำคัญ “ยึดการสื่อสารผ่านโซเชียลฯ” มาใช้เป็นข้อมูลนำมาวิเคราะห์ ตั้งรับ ป้องกันตัว เคลื่อนมวลชน หรือวางแผนปฏิบัติโจมตีการข่าวภายในและภายนอก ในรูปแบบถอดรหัสผ่านระบบสื่อสารเทคโนโลยีสมัยใหม่ ให้กับกลุ่มสมาชิกตามระดับชั้นความสำคัญที่ฝ่ายตรงข้ามถอดรหัสนี้ไม่ได้น่าสนใจว่าวิวัฒนาการการชุมนุมนี้ ยกระดับก้าวมาอีกขั้น มีเทคโนโลยีหรือโซเชียลฯเป็นสื่อกลาง เข้ามาช่วยเชื่อมโลกการสื่อสาร ประสานงานการปฏิบัติการกับผู้คนที่ต่างมาร่วมชุมนุมทั้งหลาย ทั้งภายใน และภายนอก โดยเฉพาะสามารถสื่อสารไปสู่ทั่วโลกรวดเร็วขึ้นมองว่า...ในอนาคตนี้ยามเกิดวิกฤติทางการเมือง สื่อโซเชียลฯจะถูกใช้เป็นเครื่องมือ “ทรงอิทธิพล” ที่ฝ่ายรัฐบาลแทรกแซงไม่ได้ แม้รัฐบาลพยายามควบคุมการใช้โซเชียลฯมาตลอด แต่ยังไม่สำเร็จ เพราะหากเดินหน้าอาจจุดประกายให้ประชาชนคัดค้านก็ได้เสมือนเป็นเครื่องมือภาคประชาชน ในช่องทางการเรียกร้องขอความเป็นธรรมไปแล้ว...ประเด็นอยู่ที่ว่า...รัฐบาลมีพฤติกรรมทั้งในเรื่องของการฉ้อฉล ทุจริตคอร์รัปชัน หรือมีพฤติกรรมสวนทางกับความรู้สึกประชาชนหรือไม่? หากรัฐบาลมีความซื่อสัตย์สุจริต ทำประโยชน์ต่อประชาชน บ้านเมืองแท้จริง...ต่อให้มีเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยเพียงใด ก็ไม่สามารถจุดชนวนประกายขึ้นได้ในทางกลับกัน...ถ้ารัฐบาลหรือผู้มีอำนาจทรยศต่อความไว้วางใจ และไม่ซื่อสัตย์สุจริตกับประชาชน ประชาชนจะลุกฮือต่อต้านขนานใหญ่ พลังสื่อใหม่ที่เป็นของประชาชน เพื่อประชาชน จะช่วยขยายพลังการต่อกรกับอำนาจรัฐมากยิ่งขึ้น และจงระวังอย่าลุเหลิงอำนาจแต่ถ้า “รัฐบาล” มีพฤติกรรม “ไม่ลุแก่อำนาจ มีความซื่อสัตย์สุจริต ตรงไปตรงมา” ประชาชนก็จะวางใจ พลังสื่อใหม่ของประชาชน จะเปลี่ยนข้างไปยืนอยู่เคียงข้างกับรัฐบาลโดยชอบธรรมความน่ากลัวของโซเชียลฯถูกนำมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ในยุคโลกวิวัฒนาการ...เสรีประชาธิปไตย ทุกคนมีเครื่องมือสื่อสาร มีสิทธิเสรีภาพในการใช้โซเชียลฯเต็มที่...แต่ต้องอยู่บนความรับผิดชอบของกฎหมายด้วย.