ต้องยกให้เป็นปีแห่งบทเรียนราคาแพง เมื่อชื่อเสียง, เงินตรา และความไว้ใจ กลายเป็นกับดักชีวิต!! ปี 2568 ไม่ได้เป็นเพียงปีแห่งความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเมือง แต่ยังเป็นปีที่สะท้อน “บทเรียนราคาแพง” ของบุคคลมีชื่อเสียงหลากหลายวงการ จากเวทีการเมืองระดับประเทศ ไปจนถึงสังคมไฮโซ, วงการธุรกิจ และเซเลบริตี้ตัวท็อป เรื่องความประมาทและไว้ใจคนใกล้ตัว กลายเป็นจุดอ่อนที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง...เจ็บสุดก็เพราะไว้ใจเธอฝันร้ายของปี 2568 ที่อยากฝังกลบดิน ไม่มีเหตุการณ์ไหนจะให้บทเรียนราคาแพงได้เท่าคลิปเสียงหลุดการสนทนาระหว่าง “นายกฯแพทองธาร ชินวัตร” กับ “อังเคิล ฮุน เซน” ผู้นำทางจิตวิญญาณของกัมพูชา ซึ่งพาดพิงแม่ทัพภาคที่สอง “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” (ยศขณะนั้น) เขย่าความมั่นคงชายแดนไทย-กัมพูชา จนถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ ครม.พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ฐานผิดจริยธรรมร้ายแรง ดับอนาคตทางการเมือง เรียกว่าตายเพราะปากจริงๆ ถึงเจ้าตัวจะแก้ต่างว่าเป็นการพูดคุยในเชิงส่วนตัว แต่ในโลกการเมืองไม่มีคำว่าส่วนตัวอย่างแท้จริง เมื่อหลุดออกจากปากคนเป็นนายกรัฐมนตรี ทุกคำพูดมีต้นทุนเสมอ ความไว้ใจในยุคดิจิทัลอาจถูกหักหลังได้ด้วยปุ่มอัดเสียงเพียงปุ่มเดียว ฮือฮาตั้งแต่ต้นปีกับคดีโกงสนั่นเมือง ต้องยกให้ “เมย์–วาสนา อินทะแสง” กรณีถูกดาราสาวยืมของแบรนด์เนมมูลค่ารวมกว่า 62 ล้านบาท แล้วชิ่งหนีไม่ยอมคืน ชาวเน็ตต้องตามไปเผือกทันทีที่นักธุรกิจคนดังออกมาโพสต์ประกาศตามหาของที่หายไป โดยเขียนว่า “บทเรียนราคาแพงจากการไว้ใจคนผิด ครั้งแรกที่ต้องออกมาโพสต์เรื่องแบบนี้ ไม่เคยคิดว่าจะต้องมีวันนี้...บทเรียนราคาแพงจากการไว้ใจคนผิด สุดท้ายได้รู้ซึ้งคำว่าเอ็นดูเขา เอ็นเราขาดกระจุย” พร้อมระบุว่า “เรื่องมันเป็นแบบนี้...เมย์ให้เพื่อนคนหนึ่งยืมของมีค่าด้วยความหวังดี เพื่อแก้ไขปัญหาส่วนตัวของเค้า แต่เขากลับไม่นำมาคืนตามกำหนด รายการทรัพย์สินที่ถูกยืมไปและยังไม่ได้รับคืน จำนวน 5 รายการ ซึ่งทั้งหมดเป็นทรัพย์สินที่มีคุณค่าทางจิตใจและมูลค่าสูงสำหรับเมย์ เมย์ขอประกาศผ่านช่องทางนี้ว่า หากผู้ใดครอบครองทรัพย์สินดังกล่าวอยู่ ไม่ว่าจะได้มาโดยวิธีใด หรือมีข้อมูลเบาะแสใดๆเกี่ยวกับที่อยู่ของทรัพย์สิน กรุณาติดต่อเมย์โดยด่วน...การรับของจากการกระทำผิดทางอาญา (ฐานรับของโจร) อาจทำให้คุณตกอยู่ในสถานะผู้ร่วมกระทำผิดโดยไม่รู้ตัว...” ทั้งขู่ทั้งปลอบจนได้ของคืนมาหมด แต่กรณีของ “เมย์ วาสนา” ก็ถือเป็นบทเรียนราคาแพงหูฉี่ที่สะท้อนภัยจากคนใกล้ตัว เมื่อความสนิทถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงทรัพย์สิน ก่อนจะนำไปสู่ข้อพิพาททางกฎหมายและการเปิดโปงต่อสาธารณะ ถ้าเลือกจะเงียบเพื่อรักษาหน้าอาจเสียหายหนักกว่าเดิม อีกหนึ่งข่าวใหญ่สะเทือนสังคมที่มิตรภาพกลายเป็นกับดักการเงิน รวมถึงกรณีพี่ใหญ่แก๊งนางฟ้า “นานา ไรบีนา” ฉ้อโกงเงินเพื่อนและคนสนิทมูลค่ารวมกว่า 195 ล้านบาท โดยหนึ่งในเหยื่อจากความไว้ใจคือ “เจนสุดา ปานโต” ที่ต้องสูญเงินกว่า 40 ล้านบาทให้อดีตเพื่อนรักร่วมแก๊ง เจ้าตัวลั่นชีวิตนี้ไม่เคยคิดโกงใคร...“เปิดแบรนด์ JANESUDA มา 13 ปีแล้วคะ ทำเล็กๆค่อยๆทำ ใช้เงินของตัวเองตั้งแต่บาทแรก ไม่เคยกู้แบงก์ ไม่เคยมี investor ไม่มีหุ้นส่วน ไม่เคยสัมผัสกับความสำเร็จที่ได้มาแบบข้ามคืน ทุกอย่างที่ได้มาวันนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจในการวางแผนธุรกิจอย่างจริงจัง ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่เคยคิดที่จะคดโกงใคร ไม่เคยคิดอยากรวยบนเงินของคนอื่น ใช้เท่าที่มี เก็บซะมากกว่าใช้...” สาวเจนเปิดปากครั้งแรกถึงปมเพื่อนรักเบี้ยวหนี้หลอกลงทุนเสียหายกว่า 40 ล้านบาทว่า เมื่อวานนี้เราตายไปแล้ว วันนี้เราเกิดใหม่ เราคือคนใหม่ เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอในทุกๆวัน จะไปจมอยู่ตรงนั้นมันไม่มีประโยชน์ บางทีเราก็ต้องคิด แล้วเราก็ต้องพลิกเอาตัวเองขึ้น แล้วก็เดินหน้าต่อไปแค่นั้นเอง...ขอส่งกำลังใจให้ได้เงินคืนในเร็ววัน เจ็บสุดๆเพราะร่วมแก๊งเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดก็ต้อง “ไฮโซข้าวโพด สมิทธินันท์” แม่ทูนหัวแก๊งนางฟ้า ที่โดนเพื่อนรัก “นานา ไรบีนา” เบี้ยวหนี้กว่า 70 ล้านบาท ชักชวนลงทุนจนเกิดความเสียหายหนัก ถือเป็นมรสุมชีวิตครั้งใหญ่ ส่งผลกระทบทั้งด้านการเงิน, สภาพจิตใจ และความสัมพันธ์ในครอบครัวที่บ้านแทบแตก เธอย้ำว่าสิ่งที่เจ็บไม่แพ้การถูกโกง คือการถูกสังคมมองในแง่ลบ ทั้งที่เธอและครอบครัวคือผู้เสียหายตัวจริง ถูกเพื่อนสนิทหักหลังเหมือนถูกถีบให้ล้ม แต่กลับโดนมองเป็นตัวร้าย ในขณะที่อีกฝ่ายได้รับความเห็นใจ สะท้อนความป่วยของสังคมไทย บทเรียนจากการไว้ใจคนใกล้ตัวมากเกินไป ทำให้เธอเลือกปิดประตูมากขึ้น ใช้เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องกรองคนในชีวิตว่าใครคือคนที่รักและหวังดีกับเธอจริงๆ ข้าวโพดยอมรับว่า วันนี้ยังไม่สามารถให้อภัยได้ทั้งหมด แต่ในใจลึกๆ ยังอยากให้อภัย เพราะเชื่อว่า การไม่ให้อภัยคือการทำร้ายตัวเอง และเวลาเท่านั้นที่จะช่วยเยียวยาหัวใจได้ หากย้อนเวลากลับไปได้ ก็ยังเลือกเป็นเพื่อนเหมือนเดิม แต่จะไม่ขอร่วมลงทุนอีก เพื่อไม่ต้องแลกทั้งเงิน, ความเชื่อใจ และมิตรภาพที่เคยมี ส่งท้ายมหากาพย์เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ปี 2568 ด้วยบทเรียนราคาแพงสูญเงินกว่า 100 ล้านบาท ในเวลา 2 ปี ของ “ไฮโซขวัญ–ม.ล.พลอยนภัส ลีนุตพงษ์” ภรรยาคนสวยของ “ไฮโซนัท–อภิชาติ ลีนุตพงษ์” ผู้นำเข้าซุปเปอร์คาร์ชื่อดังระดับโลกอย่าง “ลัมโบร์กินี” โดยเนื้อหาชวนให้เผือกไปทั้งโลกโซเชียล จับใจความได้ว่า เธออยากแบ่งปันประสบการณ์ราคาแพง 100 กว่าล้าน ที่ได้สูญเสียไปใน 2 ปี โดยวิงวอนให้ผู้เสียหายทุกคนกล้าออกมายอมรับความผิดพลาด อย่าเก็บสิ่งที่เกิดขึ้นไว้กับตัวเอง เพราะอายและไม่อยากเสียเวลา การเงียบของคุณอาจทำให้คนอื่นต้องโดนทำร้ายเหมือนที่คุณโดนต่อไปเรื่อยๆเหมือนลูกโซ่ เมื่อคุณได้เจอแล้ว จะช่วยหยุดการกระทำผิดต่อเนื่องได้ ถ้าคุณกล้าพอ!! เรื่องมาพีคสุดไปอีกขั้นเมื่อ “ไฮโซนัท” เปิดหน้าแฉเบื้องหลัง “ไฮโซ ต.” เบี้ยวหนี้ 14 ล้านบาท ช้ำหนักเพราะเป็นเพื่อนสนิทรู้จักมา 30 ปี แถมภาพลักษณ์ดีมาจากตระกูลดัง ตอนนี้ “ไฮโซ ต.” หนีกบดานต่างประเทศแล้ว เหลือไว้แต่รอยช้ำให้เจ็บใจ ตอกย้ำว่าบทเรียนแพงสุดอาจไม่ใช่เงินทองที่เสียไป แต่คือความเชื่อใจที่ไม่อาจซื้อกลับคืนมาได้!! ด้วยเหตุการณ์ล่าสุดที่นักร้องสาวไฮโซ “มัดหมี่–พิมดาว พานิชสมัย” ออกมาโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวคืนก่อนคริสต์มาส ถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยโดนสำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งของครูทางจิตวิญญาณชื่อดัง “อาจารย์ ต.” หลอกให้ทำบุญเพื่อลดละกรรม รวมเป็นเงินมากกว่า 8 ล้านบาท ตลอดระยะเวลากว่า 4 ปี จากเดิมที่แนะนำให้ทำบุญผ่านมูลนิธิทั่วไป ระยะหลังเริ่มชักชวนให้โอนเงินเข้าสำนักโดยตรง เพื่อรองรับการปฏิบัติธรรมที่ขยายตัว ทั้งเรื่องสถานที่ อาหาร และการจัดการต่างๆ จุดเปลี่ยนสำคัญคือในช่วงปีที่สองของการปฏิบัติธรรม นักร้องสาวไฮโซได้รู้จักกับ “ไฮโซ ต.” และภรรยา ซึ่งใกล้ชิดกับ “อาจารย์ ต.” และเริ่มมีบทบาทในกลุ่มปฏิบัติธรรมมากขึ้น เธอสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างภายในสำนักปฏิบัติธรรม ทั้งบรรยากาศ, คำสอน และรูปแบบการดำเนินชีวิต จากที่เคยเน้นความสมถะเรียบง่าย เริ่มปรากฏการใช้ชีวิตหรูหราขึ้น เช่น ใช้ของแบรนด์เนม, ซื้อรถใหม่ และที่อยู่อาศัยใหม่ แม้ครอบครัวและคนใกล้ชิดจะทักท้วง แต่เธอยังคงศรัทธาและปกป้องสำนักด้วยความเชื่อใจ กระทั่งได้ข้อมูลจากตำรวจถึงเบื้องลึกความไม่ชอบมาพากลของครูทางจิตวิญญาณ จึงตัดสินใจเฟดตัวเองออกมา และบอกเล่าประสบการณ์ฝันร้ายเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้สังคม.ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่