สนามพระวิภาวดี วันนี้ จัดพระเครื่องสำนักดังขลังๆ มาส่งท้ายเดือน ๙ กันเต็มเวที เริ่มด้วย พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์ใหญ่ วัดใหม่อมตรส กรุงเทพฯ พระสมเด็จ อันดับ ๒ รองจาก “วัดระฆังฯ” ที่ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สร้าง ตามคำขออาราธนาของ เสมียนตรา (ด้วง) ต้นสกุลธนโกเศศ ตอนบูรณะวัดใหม่อมตรส และนิมนต์ท่านเป็นประธานพิธีสร้าง ณ วัดใหม่อมตรส เพื่อนำบรรจุพระเจดีย์ มีจำนวน ๘๔,๐๐๐ องค์ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๕ พอถึง พ.ศ.๒๔๓๖ เกิดสงครามไทย-ฝรั่งเศส จึงมีการลักลอบ “ตกพระ” ออกจากกรุนำไปบูชา พอมีประสบการณ์เลื่องลือด้านคุ้มครองป้องกัน แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี ทำให้มีตกกรุมาเรื่อยๆ จนถึงปี พ.ศ.๒๔๔๙ เจ้าอาวาสเกรงองค์พระเจดีย์จะพังจึงก่ออิฐปิดช่องที่ใช้ “ตกพระ” พอเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็มีคนขโมยตกกรุอีก ทางวัดจึงตัดสินใจเปิดกรุเมื่อวันที่ ๒๕ พ.ย.๒๕๐๐ ได้พระที่ยังสภาพดีขึ้นมาราว ๓ พันองค์ แยกได้เป็น ๘ พิมพ์ จึงประทับตราองค์พระเจดีย์ที่ด้านหลังเป็นสัญลักษณ์ ก่อนออกให้ทำบุญบูชา นิยมเรียกเป็น “พระกรุใหม่” ส่วนพระที่ถูกตกกรุไปก่อนนั้นจะไม่มีตราประทับ จึงเล่นเป็น “พระกรุเก่า” อย่างองค์นี้ของ เสี่ยอ้วนลอยฟ้า พระคุ้มครอง พระพิมพ์ใหญ่ สภาพงามสมบูรณ์ สวยเดิม “เนื้อจัด” แก่มวลสาร มีคราบฝ้ารากรุบางๆ พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์ใหญ่ วัดใหม่อมตรส ของ อ้วนลอยฟ้า พระคุ้มครอง. พระสมเด็จบางขุนพรหมพิมพ์ฐานแซม วัดใหม่อมตรส ของเฮียเปี้ย ท่าพระจันทร์.อีกองค์ก็สำนักเดียวกัน พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์ฐานแซม (กรุเก่า) วัดใหม่อมตรส ของ เฮียเปี้ย ท่าพระจันทร์ สภาพงามสมบูรณ์เดิมๆ ทั้งฟอร์มทรง เนื้อมวลสารเข้มข้นครบสูตร ด้านหลังไม่ปั๊มตราองค์เจดีย์ และมีคราบกรุให้พิจารณาว่าเป็น “พระกรุเก่า” พิมพ์พระติดชัดแบบนี้ ปัจจุบันเช่ากันราวหลักล้านกลาง พระผงสุพรรณพิมพ์หน้ากลางวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ของก้อง พระสมเด็จ.ถัดไปก็ยังเป็นชุดเบญจภาคี พระผงสุพรรณ พิมพ์กลาง กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี ของ เสี่ยก้อง พระสมเด็จ พระสภาพสมบูรณ์พองาม ผิวลบเลือนจากการสัมผัสใช้ทั้งหน้า-หลัง แต่ยังสวยโชว์ได้ ผิวเนื้อมีคราบฝ้าราดำจับแน่น บอกอายุถึงยุค กับลายกดนิ้วมือชัดเจน ซึ่งเป็นจุดพิจารณาสำคัญ ตอนนี้พิมพ์ “หน้าแก่” หายากและแพงลิบ คนจึงหันมาพิมพ์รอง ซึ่งมีอานุภาพเหมือนกันเปี๊ยบ หรือเก็บเพื่อการลงทุนก็คุ้มค่าองค์ที่สี่เป็น พระวัดพลับ พิมพ์สมาธิ (เข่ากว้าง) สมเด็จพระญาณสังวร (สุก ไก่เถื่อน) วัดราช สิทธาราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ เมื่อ ร.๑ อาราธนาท่านจากวัดท่าหอย จ.พระนครศรีอยุธยา มาเป็นเจ้าอาวาสวัดพลับ (วัดราชสิทธาราม) สถาปนาเป็น สมเด็จพระญาณสังวร ท่านจึงสร้างพระพิมพ์ เนื้อผง ทรงกลม พุทธศิลป์สมัยรัตนโกสินทร์แบบเรียบง่าย ด้านหน้าเป็นองค์พระนั่งสมาธิลอยองค์ ด้านหลังเนื้ออูมเรียบ บรรจุในองค์พระเจดีย์พอพระแตกกรุโดยบังเอิญ ผู้นำพระไปใช้บูชาพบอานุภาพด้านเมตตาแคล้วคลาด คงกระพันชาตรีจึงมีชื่อเสียง และเป็นพระพิมพ์เนื้อผงที่ใช้แทนพระสมเด็จ เพราะผู้สร้างเป็นพระอาจารย์ทางวิปัสสนาของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และเป็นต้นตำรับสร้าง พระพิมพ์ ด้วย ผงพุทธคุณ ๕ ประการ--องค์นี้สวยแชมป์ ของ อ.ศิวกร อนันตศิริขจร บัญฑิตพราหมณ์ โหราจารย์เจ้าพิธีแห่งยุค พระลีลาใบขนุน กรุวัดราชบูรณะ ของสมชาย สัญญรัตน์.อีกสำนักเป็น พระลีลาใบขนุน เนื้อชิน กรุวัดราชบูรณะ อ.เมือง พระนครศรีอยุธยา สร้างขึ้นสมัย สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) และกรุแตกจากการมีการลักลอบเปิดเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๙ กรมศิลป์จึงเปิดกรุในปี พ.ศ.๒๕๐๐ และพบพระเครื่องจำนวนมหาศาล เช่น พระหูยาน พระใบขนุน พระแผง พิมพ์สมัยทวารวดี เครื่องทองหนักกว่า ๑๐๐ กิโล อัญมณี พระพุทธรูปสมัยต่างๆ พระเครื่องล้อพิมพ์พระสมัยต่างๆ อาทิ อู่ทอง สุโขทัย ต้องใช้เวลาเปิดกรุหลายปี นำของที่ได้ไปไว้ ณ พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา โดยพระใบขนุน ที่มีพบมากได้ถูกนำใช้เป็นสัญลักษณ์ในการระดมทุนสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ องค์นี้ของ เสี่ยสมชาย สัญญรัตน์ เป็นพระสวยสมบูรณ์ สวยเดิม ที่ปัจจุบันเริ่มหาได้ยาก ฤๅษี ไม้แกะ ฝังตะกรุด ลงรักปิดทอง ของเพชร อิทธิ.สุดท้ายเป็นเครื่องรางขลัง ฤาษี ไม้แกะ ลงรักชาดปิดทอง ฝังตะกรุด ของ เสี่ยเพชร อิทธิ ที่บอกแหล่งกำเนิดเพียงว่าเป็นของพระเกจิอาจารย์ เมืองนครปฐม ซึ่งผู้รู้พิจารณาจากศิลปะฝีมือช่าง อายุความเก่าของรักทองแล้ว ฟันธงว่า เป็นได้ ๒ สำนัก คือ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ไม่ก็ หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง ซึ่งทั้ง ๒ มีชื่อเสียงได้รับความนิยมสูง หาพบยากสุดๆ เพราะมีสร้างไว้น้อย เฉพาะบุคคลในวาระอันเป็นพิธี “ไหว้ครู” ทางพุทธเวทย์ ไสยเวทเท่านั้น--สภาพองค์สมบูรณ์ ศิลป์สวยงาม รักทองเก่าถึงอายุ มีตะกรุดอุดฝังด้วยแบบนี้ ราคาว่ากันถึงหลักแสน สำหรับ ฤาษี ซึ่งสมัยนี้ไม่มีแล้ว ก็คือนักบวชในสมัยโบราณ ที่ละทิ้งทางโลกไปบำเพ็ญตบะแสวงหาความสงบในป่าเขา จนมีคำเรียกคล้องจองว่า ฤาษีชีไพร ซึ่งจากการบำเพ็ญตบะศึกษาด้านต่างๆอย่างแน่วแน่จึงได้รับความศรัทธาเชื่อถือว่ามีความรู้และภูมิปัญญา เป็นครูในศาสตร์แขนงต่างๆ เช่น นาฏศิลป์ การแพทย์ และด้านอิทธิฤทธิ์ จึงนิยมสร้างวัตถุมงคลไว้บูชาครู เช่น หัวโขนฤาษี หรือที่ดารานักแสดงเรียกว่า “พ่อแก่” เพื่อส่งเสริมให้อาชีพประสบความสำเร็จ อาจารย์ฤาษีที่มีชื่อเสียง รู้จักกันก็มี ฤาษีนารอด บรมครูแห่งวิชาดุริยางค์ ฤาษีตาไฟ มีอำนาจบารมีสูง มีญาณหยั่งรู้ สามารถเพ่งไฟให้ลุกไหม้ได้ เชื่อว่าช่วยให้แคล้วคลาดจากคุณไสย ในนิทาน ตำนาน และวรรณคดีของไทย ก็มีเรื่องราวของฤาษีที่เก่งกล้าวิชาเข้มขลังพลังจิตสูง เช่น รามเกียรติ์ ก็กล่าวถึง ฤาษีโคบุตร ที่ทศกัณฐ์ฝากดวงใจไว้ ทำให้ไม่มีผู้ใดฆ่าได้--และที่วงการพระได้ยินบ่อยคือ ฤาษีนารทะ หรือ ฤาษีนารอด ที่ พระนางจามเทวี เชิญไปสร้างพระรอด ที่วัดมหาวัน ลำพูน ซึ่งฤาษีตนนี้ทางอินเดียนับถือมากเพราะถือเป็น ทูตสวรรค์ ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพและมนุษย์สุดท้าย ลาเดือน ๙ ในร้านเสริมสวยดังในเมืองนครปฐม ซึ่ง เจ๊เฮียง เข้าไปปุ๊บก็บอกช่างว่า ทำสวยชุดใหญ่ จัดเต็ม ทำผม ทำเล็บ ทำหน้า ขัดตัว เจ๊น้อย เจ้าของร้าน ถามว่า เจ๊จะไปทำบุญวัดไหนถึงมาทำสวยครบเซต แต่ เจ๊เฮียง ส่ายหน้าตอบว่า ไม่ได้ไปงานบุญหรอก แต่จะไปงานประกวด เจ๊น้อย ร้องอ๋อ แต่ถามอีกว่า งานประกวดนางงามที่ไหน เพราะถ้ามีประกวดร้านเสริมสวยก็จะต้องรู้ เพราะจะมีลูกค้ามากเป็นพิเศษ แต่ เจ๊เฮียง ส่ายหน้าตอบว่า ไม่ใช่ประกวดนางงาม แต่จะไปงานประกวดพระ เพราะผัวเป็นเจ้าของร้านพระเครื่อง เจ้าค่ะ อามิตตพุทธ.สีกาอ่างคลิกอ่านคอลัมน์ "สนามพระ" เพิ่มเติม