พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่อยู่ในเลี่ยมแบบเก่า จับขอบหนามเตยด้วยแผ่นทองแดง องค์ในคอลัมน์วันนี้ เป็นองค์ที่สอง (ต่อจากเลี่ยมองค์เกศบัวตูม ในคอลัมน์ฉบับที่แล้ว) ถ้ารวมกับองค์ที่จับขอบด้วยเลี่ยมที่ใช้ด้ายถักแล้วจุ่มรัก ก็นับว่าเป็นเลี่ยมเก่า...องค์ที่สามขอบอก...ถึงที่มา...นี่เป็น “พระบ้าน” ที่ลูกชายยกเอาของรักของหวงพ่อมาให้ศึกษาเป็นข้อสนทนาอดใจ...รอคุยเรื่องเล่า และเรื่องเลี่ยมแบบเก่า (เก๊า เก่า ก่อน พ.ศ.2500) เอาไว้ก่อน สองข้อนี้เป็นแค่ส่วนประกอบย่อย...หลักการของคนเป็นพระด้วยกันเรื่องใหญ่ ตัดสินกันที่พิมพ์พระ และเนื้อพระเรื่องพิมพ์องค์นี้ ทุกเส้นสายชี้ว่าเป็นพิมพ์ใหญ่เกศทะลุซุ้ม ที่เห็นๆกันคุ้นตา ติดพิมพ์คมชัดลึกมาก ผิวองค์พระและเส้นซุ้มถูกจับต้อง จนผิวปูน (แป้งโรยพิมพ์) กลมกลืนไปกับเหงื่อไคล เห็นเป็นผิวเหลืองเข้มเด่นลอยขึ้นมาจากพื้นผนังที่ยังเห็นผิวปูนขาวหม่นส่องแว่นขยายสิบเท่า พบรอยยุบรอยแยกเป็นริ้วเล็กประปราย หลุมร่องและเม็ดมวลสารก้อนขาว กากดำ เม็ดแดงน้อย เพราะผิวปูนที่ยังหนาสมบูรณ์ปิดคลุมแต่ถ้าดูด้วยตาเปล่าแบบผิวเผิน ด้านหน้าองค์นี้ผิวเรียบเป็นส่วนใหญ่ด้านหลัง เลี่ยมทองแดงที่จับแค่ขอบองค์พระ เปิดให้เห็นเต็มตา ผิวพื้นมีหลุมร่อง รอยยุบรอยแยกน้อยใหญ่ได้ชัด เพราะมีฝ้ารักที่ถลอกลอกล่อนออกไปแล้วแบบแน่น สลับด้วยส่วนที่ผิวพระถูกจับต้องเห็นเป็นสีเหลืองคลํ้าภาษาคนเป็นพระ “งามและง่าย” ซึ้งตาซึ้งใจมากหากให้เป็นคะแนน ด้านหน้าเส้นสายลายพิมพ์ลึกคม แต่ความสวยนี้มากับความสงสัย...พระปลอมรุ่นหลังทำให้ใกล้เคียง ให้เป็นคะแนนได้ไม่เต็มร้อย เอ้า! ให้ได้แค่เก้าสิบ แต่เมื่อดูด้านหลังต้องใช้คำว่าคะแนนเกินร้อยข้อสวยคมด้านหน้า เอาคะแนนเกินด้านหลังเต็มใส่ พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่องค์นี้ได้คะแนนพระแท้เต็มร้อยสรุปชัดๆ องค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังแท้...ทีนี้ก็มาพิจารณาเรื่องเลี่ยม ที่สำหรับผมเห็นว่าเป็นตัวช่วยสภาพของผิวเนื้อแผ่นทองแดง ที่ช่างจับขอบองค์พระยังสด ไม่มีร่องรอยการเสียดสีจากการจับต้อง หรือการนำไปแขวนคอให้ชุ่มเหงื่อไคล ข้อพิจารณาจึงมีได้ว่า พระองค์นี้ถูกใช้มาในสภาพใดสภาพหนึ่งก่อนนำเลี่ยมและ “เลี่ยม” สภาพนี้จะเป็นเลี่ยมในสมัยของการเล่นพระสมัยแรกเริ่มจริงหรือไม่? เราต้องไม่ลืมการเลี่ยมพระแบบโบราณ คนขายเขาทำไว้หลอกคนเล่นพระตาอ่อน ไว้นานเต็มทีเหมือนกันประเด็น “เลี่ยมเก่า” จึงต้องมาสัมพันธ์กับเรื่องเล่าที่เป็นเรื่องจริงคุณปลา (กรกฎ ธนภัทร) เจ้าของพระ บอกว่า เมื่อราวๆห้าสิบปีที่แล้ว คุณพ่อ (วิรุฬ) เป็นทนายสำนักงานใกล้ร้านพระชาตรีของประชุม กาญจนวัฒน์ สี่แยกหลานหลวง จึงคุ้นเคยกัน พระสมเด็จชุดนี้ (มีหลายองค์มาก) พี่ชุมดูให้นอกจาก “พี่ชุม” คุณพ่อยังมีอาจารย์เสนอ นิลเดช จากศิลปากร ช่วยตรวจสอบอีกตา เรื่องเล่านี้ยืนยันว่าคุณพ่อคุณปลาเล่นพระเป็น มีครูผู้รู้จริงเป็นพี่เลี้ยงประคับประคอง จึงไม่หลงทิศผิดทาง เหมือนผู้ใหญ่อีกหลายคนคนรักพระที่นับได้ว่ามีวิทยายุทธ์ เป็นเช่นคุณพ่อคุณปลานี่แหละครับ...พระนับร้อยที่ยกกันดูพร้อมกันคราวนี้ มีพระกริ่งปวเรศหรือจะเป็นกริ่งปวเรศรุ่นที่ว่ากันว่าหลงชำนาญเลขา (หุ่น) ไวยาวัจกร เคยขออนุญาตนำแม่พิมพ์ไปสร้างเป็นรุ่นหลังๆ...น่าจะเป็นชุดที่พี่ชุมเคยเขียนว่า เนื้อหาและพิมพ์ใกล้เคียงปวเรศแท้...แต่ก็ล้วนเป็นของปลอมทั้งสิ้นวิทยายุทธ์สำคัญของคนรักพระ เมื่อตัวเองยังไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็น ก็รู้จักไปพึ่งพาคนเป็น หากพระตัวเองแท้ ได้คนเป็นพระที่เป็นคนแท้...ก็ถือว่าโชคดี ถ้าโชคร้ายก็เข้าข่ายเรื่องในหนัง “พระแท้ คนเก๊” นั่นกระมัง!กุญแจอีกดอกสำคัญ สำหรับคนรักพระเครื่องที่รู้ๆในใจ แต่ไม่ค่อยพูดก็คือ ดูพระไม่เป็น แต่ยังพอเอาตัวรอดได้ ถ้าดูคนเป็น.พลายชุมพลคลิกอ่านคอลัมน์ “ปาฏิหาริย์จากหิ้งพระ” เพิ่มเติม