ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำด้านดิจิทัล และ AI ในอาเซียน ในฐานะ นายกสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย “ดร.นรัตถ์ สาระมาน” คือหนึ่งในทัพหน้าสำคัญที่ผลักดันซอฟต์แวร์ไทยให้ก้าวสู่เวทีระดับนานาชาติ พร้อมสร้างรายได้ใหม่จากตลาดที่กำลังเติบโต ตอกย้ำชัดประเทศไทยพร้อมแล้วที่จะขับเคลื่อนสู่การเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้“อุตสาหกรรมไฮเทคของไทยกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านสำคัญ เห็นได้จากการเติบโตของกลุ่มสตาร์ตอัพ และผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อน รวมถึงผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทย ที่พัฒนาปรับปรุงซอฟต์แวร์ที่ตัวเองมี โดยนำนวัตกรรมมาใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งไซเบอร์ ซีเคียวริตี้, ฟินเทค, อีคอมเมิร์ซ, เฮลท์เทค และโลจิสติกส์ ภาครัฐก็ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลผ่านนโยบายต่างๆ เช่น Thailand 4.0 และส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ทำให้โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของไทยติดอันดับต้นๆของโลก แต่เรายังคงต้องเผชิญกับความท้าทายในเรื่องการขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะขั้นสูง, การลงทุนด้าน R&D ที่ยังไม่เพียงพอ และปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ ทั้งที่ศักยภาพในการเติบโตของอุตสาหกรรมไฮเทคของไทยยังคงมีสูงมาก สมาคมฯเรามุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยและดิจิทัลเทคโนโลยีของไทยเติบโตแข็งแกร่ง และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศต่อไป อย่าลืมว่าประเทศไทยพึ่งพารายได้แบบเดิมๆ ไม่ได้แล้ว การที่เราไม่เร่งสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมมูลค่าสูงอย่างซอฟต์แวร์เทคโนโลยี จะทำให้เราถูกประเทศอื่นๆก้าวข้ามไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และเวียดนาม ก้าวข้ามเราไปเรียบร้อยแล้ว”... นายกสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย บอกเล่าสถานการณ์ปัจจุบัน สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยมีบทบาทสำคัญอย่างไร เราเป็นแกนกลางขับเคลื่อนและสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยในทุกมิติ ตั้งแต่ “เป็นตัวแทนภาคอุตสาหกรรม” นำเสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อภาครัฐในการกำหนดนโยบายและมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ “พัฒนาและยกระดับบุคลากร” โดยจัดอบรม, จัดทำมาตรฐานอาชีพ, จัดทำหลักสูตรด้านเทคโนโลยีต่างๆ, จัดสัมมนา และกิจกรรมต่างๆเพื่อเพิ่มพูนความรู้และทักษะให้นักพัฒนาและบุคลากรในอุตสาหกรรม โดยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ, สถาบันการศึกษา และหน่วยงานอื่นๆ “ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือ” เป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้, ประสบการณ์ และสร้างความร่วมมือระหว่างสมาชิก, ภาครัฐ, สถาบันการศึกษา และผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ “กระตุ้นการลงทุนและนวัตกรรม” สนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ขณะเดียวกันก็ช่วยเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและความสำคัญของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ต่อการพัฒนาประเทศ ล่าสุดสมาคมฯเพิ่งร่วมกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นำคณะผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทยเดินทางเข้าร่วมงานแสดงเทคโนโลยี “Africa Techno logy Expo 2025” และ “Business Matching” ณ เมืองลากอส ประเทศไนจีเรีย และจัดกิจกรรม “Thai Software Business Trip” ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทยที่มีความพร้อมให้สามารถเปิดตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศแอฟริกา ซึ่งกำลังเร่งพัฒนาโครงสร้างดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง เป็นการขยายโอกาสซอฟต์แวร์ไทยสู่เวทีโลก ทำยังไงให้อุตสาหกรรมไฮเทคของไทยพัฒนาก้าวหน้าทันคนอื่น ต้องดำเนินการในหลายมิติพร้อมกัน ตั้งแต่ “ส่งเสริมให้เกิดการใช้เทคโนโลยี” โดยมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ทั้งพัฒนาโครงข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง และโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น 5G, Cloud Computing และ Data Center ขณะเดียวกันก็ต้อง “เร่งสร้างและพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีที่มีคุณภาพและมีทักษะขั้นสูง” ทั้งในระดับปริญญาและสายอาชีพ รวมถึงส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) พร้อมกับ “ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (R&D)” เพิ่มงบประมาณและแรงจูงใจในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน “สร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่เอื้ออำนวย” สนับสนุนผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี, นักพัฒนาซอฟต์แวร์ และสตาร์ตอัพ ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยต้องยอมเปิดโอกาสให้เอกชนเป็นผู้นำ เพื่อนำผลการศึกษาวิจัยและพัฒนาร่วมกันนั้นสู่การทำตลาดได้จริง ขาดไม่ได้รวมถึง “ส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี” กระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่ม ขณะที่ “นโยบายภาครัฐที่ชัดเจนและต่อเนื่อง” ก็สำคัญมาก ภาครัฐควรกำหนดนโยบายที่ส่งเสริมการลงทุนและสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเติบโตของอุตสาหกรรมไฮเทค และภาครัฐต้องเป็นกำลังหลักในการซื้อและใช้เทคโนโลยีที่ผลิตขึ้นเองในประเทศ อย่าลืมว่า 70% ของสินค้าและบริการด้านเทคโนโลยี กำลังซื้อมาจากภาครัฐ ที่ผ่านมาภาครัฐใช้จ่ายกับสินค้าและบริการจากต่างประเทศ ทั้งที่ผู้ประกอบการในประเทศก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน นักพัฒนาซอฟต์แวร์ไทยเก่งด้านไหน มีอุปสรรค อะไรฉุดความก้าวหน้า นักพัฒนาซอฟต์แวร์ไทยมีความสามารถและมีศักยภาพสูง โดยเฉพาะความสามารถในการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆได้อย่างรวดเร็ว แถมยังมีความคิดสร้างสรรค์ และมีความยืดหยุ่นในการทำงาน เรามีนักพัฒนาที่เชี่ยวชาญในหลายสาขา เช่น Web Development, Mobile Application Develop ment และ Data Analytics แต่อุปสรรคคือ “การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะขั้นสูง”โดยเฉพาะ ในเทคโนโลยีเฉพาะทาง เช่น AI, Machine Learning, Cloud Computing, Cybersecurity และ Big Data “การแข่งขันด้านค่าตอบแทน” บุคลากรที่มีความสามารถมักถูกดึงดูดด้วยค่าตอบแทนที่สูงกว่า จากต่างประเทศ “การเข้าถึงโครงการภาครัฐ รวมถึงโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ” กำลังซื้อจากภาครัฐคือ 70% ของกำลังซื้อทั้งหมด การที่ไม่สามารถเข้าถึงโครงการของภาครัฐ ก็หมายความว่าผู้ประกอบการไทยมีส่วนแบ่งเหลือแค่ 30% ของมูลค่าตลาด แถมยังต้องแข่งกับสินค้าและบริการจากต่างประเทศ ทำให้เหลือส่วนแบ่งไม่ถึง 5-10% อีกอย่างคือโอกาสการทำงานในโครงการระดับโลก หรือโครงการที่ซับซ้อนยังมีจำกัด ส่งผลต่อการพัฒนาทักษะเชิงลึกของผู้ประกอบการในประเทศ อุปสรรคยังรวมถึง “โครงสร้างพื้นฐานและวัฒนธรรมองค์กร” บางองค์กรยังไม่พร้อมที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้เต็มศักยภาพ ทำให้ขีดความสามารถของนักพัฒนาไทยถูกจำกัด ขณะที่หลายหน่วยงานด้อยค่าสินค้าและบริการที่พัฒนาขึ้นเองในประเทศ เทคโนโลยี AI จะช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ประเทศได้อย่างไรเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถือเป็นเทคโนโลยีพลิกโฉม (Disruptive Technology) ที่จะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของเศรษฐกิจโลก โดยคาดว่าการนำ AI มาใช้ อาจเพิ่ม GDP โลกได้อีก 15% ภายในทศวรรษหน้า สำหรับประเทศไทย AI มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดย AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต, ลดต้นทุน, เพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เช่น การผลิตอัจฉริยะ (Smart Manufacturing), การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเชิงลึก (Customer Analytics) และการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล ภาครัฐของเรากำลังพยายามขับเคลื่อนไทยสู่การเป็นผู้นำ AI ของอาเซียน ก็ต้องจับตามองต่อไป จริงไหม AI จะมาแย่งงานคนในตลาดแรงงาน AI ไม่ได้เข้ามาแย่งงานทั้งหมด แต่เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน และสร้างงานใหม่ๆที่ต้องใช้ทักษะในการทำงานร่วมกับ AI มากขึ้น โดย AI จะเข้ามาช่วยแบ่งเบางานรูทีน หรืองานที่ต้องใช้แรงงานซ้ำๆ ทำให้คนมีเวลาไปทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์, การแก้ปัญหา และการมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์มากขึ้น กระนั้น งานที่ใช้แรงงานซ้ำๆ หรืองานที่สามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ง่าย อาจถูกทดแทนด้วย AI ตรงข้ามกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์, การวิเคราะห์เชิงลึก, การตัดสินใจที่ซับซ้อน หรือทักษะทางสังคม ยังคงเป็นทักษะที่มนุษย์ทำได้ดีกว่า AI สิ่งสำคัญคือเราต้องปรับตัวเรียนรู้ทักษะใหม่ๆที่จำเป็นต่อการทำงานร่วมกับ AI เช่น ทักษะด้านข้อมูล (Data Literacy), การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking) และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน (Complex Problem Solving) เพื่อให้เราสามารถใช้ AI เป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเรา แทนที่กังวลว่าจะตกงานเพราะ AI คนไทยมีความพร้อมแค่ไหนในการเปิดรับเทคโนโลยี คนไทยมีความตื่นตัวและเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆได้เร็ว โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น โซเชียลมีเดีย, อีคอมเมิร์ซ และแอปพลิเคชันบนมือถือ ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเทศไทยก็อยู่ในอันดับต้นๆของโลก กระนั้น ความพร้อมด้านทักษะเชิงลึกและทักษะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในระดับสูงยังคงเป็นจุดที่ต้องเร่งพัฒนา โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่หลากหลาย ตั้งแต่เยาวชนไปจนถึงวัยทำงานที่ต้อง Upskill/Reskill ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยี ที่น่าเป็นห่วงคือประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวแล้ว โดยมีสัดส่วนประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด นี่คือความท้าทายที่รออยู่สำหรับประเทศไทย.ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม