เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกวงการศาสตร์การแพทย์แบบองค์รวมและป้องกันในประเทศไทย จนพัฒนาก้าวรุดไกลเป็นผู้นำของภูมิภาคอาเซียน แต่ฝันให้ไกลต้องไปให้ถึงของ “หมอแอมป์–นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ” ประธานคณะผู้บริหาร “บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก” และ “บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท” คืออยากเชิญชวนคนไทยทุกคนมาช่วยกันสร้างทีมไทยแลนด์ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “Global Wellness Hub” ศูนย์กลางเวลเนสระดับโลก ให้ชาวโลกลือกันให้แซ่ดว่า ฉันไปซื้อชีวิตที่เมืองไทย!! “เส้นทางการเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ป้องกันเริ่มตั้งแต่ผมยังเป็นหนุ่มในสมัยเรียนมหาวิทยาลัยปีแรก ขณะนั้นคุณตาของผมมีสุขภาพทรุดโทรมลงจากการเป็นโรคมะเร็ง ช่วงเวลาในชีวิตท้ายๆไม่กี่เดือนของคุณตายังคงฝังลึกในความทรงจำผม ผมไม่ได้ต้องการแค่เข้าใจวิธีการรักษาโรค แต่การเจ็บป่วยของคุณตาเป็นแรงบันดาลใจให้อยากเข้าใจลึกไปถึงสาเหตุของการเกิดโรค ผมจึงเลือกเรียนและประกอบวิชาชีพแพทย์ แต่เวลานั้นไม่แน่ใจว่าจะเลือกเรียนเฉพาะทางสาขาใด ยังไม่มีคำศัพท์ภาษาไทยที่เหมาะสมเพื่อใช้อธิบายหลักการของเวชศาสตร์ชะลอวัย, เวชศาสตร์วิถีชีวิต หรือเวชศาสตร์ฟื้นฟูสุขภาพ และไม่มีสาขาเหล่านี้ให้เลือกเรียนในเมืองไทย ขณะเดียวกันสาขานี้ที่ยุโรปและอเมริกาก็ยังมีไม่มากนัก ผมศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมทางการแพทย์ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ทำให้รู้จักกับสมาคมแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยแห่งสหรัฐอเมริกา (A4M) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เป็นแห่งแรกๆที่มีการฝึกอบรมด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย และมีประกาศนียบัตรสำหรับแพทย์ เมื่อผมจบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จึงตัดสินใจไปศึกษาต่อที่ A4M ในเมืองชิคาโก ด้วยการสนับสนุนจากครอบครัว สมัยนั้นศาสตร์แขนงนี้ไม่เป็นที่รู้จักและเข้าใจดีนัก แต่โชคดีที่ในปัจจุบันเป็นสาขาที่มีความเข้มแข็งในโลกทางการแพทย์ และโลกที่กระแสนิยมด้านสุขภาพกำลังมาแรง ประชาชนเริ่มเข้าใจและเห็นความสำคัญของการทำนาย, การเสาะหา และการป้องกันโรค นอกจากความชำนาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูสุขภาพแล้ว ผมยังร่ำเรียนในสาขาเวชศาสตร์ป้องกัน, เวชศาสตร์วิถีชีวิต และการรักษาโรคอ้วนด้วย กระทั่งได้รับการสนับสนุนจาก “นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ” ให้ก่อตั้งคลินิกสุขภาพเชิงป้องกันและฟื้นฟู ภายใต้เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ กลายเป็นจุดเริ่มต้นมาถึงทุกวันนี้”...“หมอแอมป์” บอกเล่าที่มาของการบุกเบิกศาสตร์การแพทย์แขนงใหม่ในประเทศไทย อะไรคือหัวใจสำคัญของเวชศาสตร์ป้องกันและเวชศาสตร์วิถีชีวิตเมื่อความชราเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกับความตาย “คุณภาพชีวิต” โดยเฉพาะในช่วงท้ายๆของชีวิตจึงเป็นสิ่งที่ผมมุ่งมั่นพยายามพัฒนา ทั้งสำหรับตัวผมเอง, ครอบครัว, ผู้ป่วย และประชาชนทั่วไป ผมใช้หลักการด้าน “เวชศาสตร์ป้องกัน” เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาวะสุขภาพและชีวิตของผู้คน ปัจจุบันในประเทศไทย คนส่วนมากยังมีความเข้าใจว่า เวชศาสตร์ป้องกันและเวชศาสตร์วิถีชีวิตคือแขนงที่เกี่ยวข้องกับความงามและผิวพรรณ เป้าหมายของผมคือการเผยแพร่ความรู้ให้คนไทยได้รู้ว่า เราสามารถตั้งเป้าหมายของชีวิตเอาไว้ได้ด้วยการดูแลสุขภาพและสร้างชีวิตที่ยืนยาว โดยสนับสนุนให้ประชาชนสร้างเสริมสุขภาพให้ดีขึ้นในระยะยาวด้วยวิธีง่ายๆ ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่ายังไม่สายเกินไป และไม่มีวันเร็วเกินไปที่จะเริ่มดูแลสุขภาพ ถ้าไม่สะดวกแก่ และอยากมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพต้องทำอย่างไรออกกำลังกายทุกวัน, นอนหลับดี, รับประทานอาหารที่มีคุณภาพ และจิตใจเป็นสุข คือยาราคาถูกที่สุดสำหรับทุกคน!! โดยการออกกำลังกายควรทำอย่างน้อยวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ ส่วนการนอนหลับพักผ่อนควรเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม และนอนให้ได้คืนละ 8-9 ชั่วโมง ขณะที่การรับประทานอาหารก็ต้องให้ได้สารอาหารสมดุล คอยควบคุมน้ำหนักและไขมันให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และต้องจัดการความเครียด ด้วยการมีสติรับรู้อยู่กับปัจจุบัน โดยฝึกสมาธิ, โยคะ หรือไทชิ พร้อมหลีกเลี่ยงสารที่สร้างความเสี่ยงให้สุขภาพ เช่น แอลกอฮอล์, บุหรี่ และฝุ่น PM 2.5 การแพทย์เฉพาะบุคคลเข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่างไรในฐานะแพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน ผมสังเกตเห็นว่าการศึกษาเชิงลึกเพื่อหากระบวนการทางชีววิทยา และการทำงานของสารในร่างกาย ทั้งด้านเคมีและในระดับเซลล์มีความสำคัญยิ่ง เมื่อเวลาผ่านไปคนไข้และประชาชนมีความรู้มากขึ้น จึงมีความต้องการที่ชัดเจนซับซ้อนยิ่งขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้การรักษาโรคและดูแลคนไข้มีแนวโน้มเปลี่ยนเป็นการดูแลเฉพาะบุคคลมากขึ้นเรื่อยๆ การดูแลคนไข้เฉพาะรายต้องเป็นการดูแลระยะยาวด้วยการให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด ต้องศึกษาข้อมูลของผู้ป่วยโดยละเอียด เพื่อให้เข้าใจผู้ป่วยทั้งในด้านพฤติกรรม, วิถีชีวิต และผลจากการทำงานที่ส่งผลต่อสุขภาพ เพื่อให้แพทย์สามารถดูแลให้ผู้ป่วยบรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพได้ นี่เองคือที่มาของการก่อตั้งศูนย์สุขภาพและดูแลป้องกัน “บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก” เมื่อปี 2017 บนพื้นที่ 24,280 ตารางเมตร บนถนนวิทยุ ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งเดิมของโรงแรมปาร์คนายเลิศ เพื่อบุกเบิกการดูแลสุขภาพด้วยศาสตร์การแพทย์แบบองค์รวมและป้องกัน เทรนด์ด้านสุขภาพระดับโลกกำลังมุ่งไปทิศทางไหนตอนนี้คำว่า “Wellness” ไม่ได้เป็นแค่เทรนด์หรือกระแส แต่เป็นสิ่งที่จำเป็น ปัจจัยที่หนุนส่งให้มีการตระหนักรู้เรื่องเวลเนสจนกลายเป็นเทรนด์โลก อันที่หนึ่งคือ “สังคมผู้สูงอายุ” เมื่อก่อนมนุษย์เราเสียชีวิตเร็ว อายุขัยเฉลี่ยไม่เกิน 50 ปีก็เสียชีวิตแล้ว และส่วนใหญ่เสียชีวิตเพราะโรคติดต่อ คนเลยไม่ต้องดูแลสุขภาพเยอะ จนปัจจุบันอายุขัยเฉลี่ยประชากรทั้งโลกเพิ่มขึ้นเป็น 73.4 ปี แต่คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ยสูงถึง 77.7 ปี โดยผู้หญิงไทยมีอายุขัยเฉลี่ยเกิน 80 ปี ซึ่งอายุยืนกว่าผู้ชาย อีกไม่เกิน 8 ปี ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด คือมีประชากรอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 28% หลายๆประเทศกำลังแข่งกันรวยสุขภาพ และลงทุนกับสุขภาพ เพื่อสร้าง “Health span” ช่วงเวลาที่มีคุณภาพชีวิตดี สุขภาพแข็งแรง, ไม่มีโรคเรื้อรัง และความพิการ มากกว่าจะโฟกัสที่อายุขัย “Lifespan” เราต้องช่วยกันผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “Healthy Aging Society” ส่วนอันที่สองที่เป็นปัจจัยเร่งให้โลกตื่นตัวเรื่องเวลเนสคือ “แนวโน้มการป่วยเพิ่มขึ้นด้วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)” ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เป็นโรครู้งี้ไม่น่าเลยแต่ชะล่าใจ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมอง, ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, ปอดอุดกั้นเรื้อรัง, อ้วนลงพุง, โรคมะเร็ง และปัญหาสุขภาพจิต แต่ละปีทั่วโลกมีคนเสียชีวิตด้วยโรคทำตัวเอง หรือ NCDs ถึง 74% หรือราว 45 ล้านคน ส่วนคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคทำตัวเองถึง 77% คิดเป็น 380,400 คนต่อปี หรือเฉลี่ย 44 คนต่อชั่วโมง อีกปัจจัยกระตุ้นให้เวลเนสมาแรงคือ “การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19” องค์การอนามัยโลกชี้ว่า ผู้ที่มีโรค NCDs มีโอกาสเจ็บป่วยรุนแรง และเสียชีวิตจากโรคโควิดมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคอ้วน ประเทศไทยมีศักยภาพขนาดไหนในการเป็น “Global Wellness Hub”ขนาดตลาดของอุตสาหกรรมเวลเนส เมื่อปี 2024 จากการสำรวจของสถาบันเวลเนสโลก (GWI) พบว่า มีมูลค่าทั้งโลกอยู่ที่ 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2023 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 8.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2028 โดยจะโตเฉลี่ย 7.3% ทุกปี ซึ่งสาขาอันดับหนึ่งที่จะเติบโตสูง 15.8% ทุกปี คือ “Wellness Real Estate” คนอยากอยู่ในที่อยู่อาศัยที่ทำให้มีสุขภาพดี มากกว่าจะอยู่ในสถานที่โก้หรู รองลงมาคือ “Mental Wellness” มีแนวโน้มจะเติบโต 12.2% ทุกปี ทำยังไงให้นอนหลับดีและมีสุขภาพใจที่เป็นสุข และ “Wellness Tourism” คาดว่าจะเติบโต 10.2% ทุกปี ซึ่งเป็นพระเอกของประเทศไทย ผมอยากชวนคนไทยทุกคนมาร่วมใจสร้างทีมไทยแลนด์ เพื่อช่วยกันผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “Global Wellness Hub” ให้ได้ เลิกแล้วการไปเที่ยวแบบกินๆๆนอนดึกๆๆซัดบุฟเฟต์ๆๆ กลับมาสบายใจแต่ไม่สบายกาย อันนี้ไม่ใช่ “Wellness Tourism” แต่การจะเป็น “Wellness Tourism” ได้ หลังจากเที่ยวเสร็จกลับบ้านตัวเองต้องมีกายแข็งแรงและใจแข็งแรงขึ้น จะใช้ยุทธศาสตร์ใดขับเคลื่อนไทยสู่ศูนย์กลางเวลเนสระดับโลกผมอยากเชิญชวนทุกฝ่าย ทั้งรัฐบาล, เอกชน, ประชาชน และผู้ประกอบการทุกคนทุกอุตสาหกรรม มาช่วยกันสร้างทีมไทยแลนด์ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “Global Wellness Hub” ก่อนโควิดเราเคยมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเชิงสุขภาพสูงเป็นอันดับ 7 ของโลก แต่ปัจจุบันเราอยู่อันดับ 15 ของโลก ผมมีความฝันที่อยากผลักดันประเทศไทยให้เป็น “Wellness Tourism” ติดท็อปไฟว์ของโลก!! โดยยุทธศาสตร์ที่จะทำให้ประเทศไทยเป็น “Global Wellness Hub” ได้ นอกจากจะต้องมีครบทั้ง 5 จุดเด่นคือ “Tourism Environment” ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้านการท่องเที่ยว, “Healthy Eating” อาหารเพื่อสุขภาพ, “Hospitality” การให้บริการและวัฒนธรรมไทย, “Traditional Medicine” การแพทย์แผนไทย และ “Medical Hub Capabilities” ศูนย์กลางทางการแพทย์ เรายังต้องยกระดับทั้ง 5 จุดเด่นให้เป็น “Scientific Wellness” ที่ได้รับการยอมรับทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ด้วย สิ่งที่ผมอยากเข้ามาช่วยคือ การติดอาวุธ “Scientific Wellness” ให้คนไทยทุกคน อยากเป็นผู้มอบของขวัญแห่งชีวิต ช่วยให้ผู้คนมีอายุยืนยาวมากขึ้น และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับคนที่ผมรัก รวมถึงคนอื่นๆ บนโลกใบนี้ ตอนนี้คือโอกาสใหญ่ในการยกระดับประเทศไทยให้เป็นประเทศที่ร่ำรวยสุขภาพ!!ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่