นอกจากโรคไตโดยปกติแล้ว อวัยวะเล็กๆ ที่ทำหน้าที่กรองของเสียออกจากร่างกายอย่าง “ไต” หรือที่ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า Kidney ยังสามารถเกิดความผิดปกติอย่างการมีถุงน้ำหรือซีสต์เกิดขึ้นได้ และที่น่ากลัวคือ ถุงน้ำที่เกิดในไตมักมีปริมาณมากจนส่งผลให้เกิดอาการไตวายได้ในระยะยาวโรคถุงน้ำในไต (Cystic kidney disease) เกิดจากการมีซีสต์หรือถุงน้ำเป็นจำนวนมากภายในไต ส่งผลให้ขนาดของไตใหญ่ขึ้น เมื่อถุงน้ำหรือซีสต์โตขึ้นเรื่อยๆ ก็จะไปเบียดเนื้อไตที่ยังปกติ ทำให้เนื้อไตเกิดความเสียหาย นำมาซึ่งอาการไตวายได้ในที่สุดสาเหตุของการเกิดโรคถุงน้ำในไตนั้นเกิดได้ทั้งจากพันธุกรรมและไม่ใช่จากพันธุกรรม ถ้าเป็นโรคถุงน้ำในไตจากพันธุกรรมที่พบบ่อยคือ Polycystic kidney disease ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด คือ ถ่ายทอดผ่านพันธุกรรมแบบยีนเด่น เรียกว่า ADPKD ซึ่งพบได้บ่อยกว่า และ ถ่ายทอดผ่านพันธุกรรมแบบยีนด้อย เรียกว่า ARPKD โดยแบบหลังนี้มักตรวจพบอาการท้องโตและถุงน้ำในไตทั้งสองข้างจำนวนมาก ไตมีขนาดใหญ่ขึ้นมักไม่แสดงอาการ ตรวจพบได้จากการตรวจสุขภาพ เช่น การทำอัลตราซาวด์ รวมถึงอาจมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคไตร่วมด้วยส่วนโรคถุงน้ำในไตที่ไม่ได้เกิดจากพันธุกรรม มีประมาณ 3 ชนิด ที่พบบ่อยคือ Simple kidney cyst เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด 90% เกิดในคนอายุ 30-40 ปี มักไม่แสดงอาการ การเกิดโรคมีความสัมพันธ์กับอายุที่มากขึ้นรวมถึงโรคประจำตัว เช่น โรคไตเรื้อรังMulticystic dysplastic kidney disease เกิดจากการพัฒนาที่ผิดปกติขณะเป็นตัวอ่อน ลักษณะเนื้อไตจะถูกแทรกด้วยถุงน้ำขนาดเล็กจำนวนมาก มักพบแต่กำเนิด ตรวจพบได้จากการอัลตราซาวด์ เป็นชนิดที่พบไม่บ่อย Medullary sponge kidney เกิดถุงน้ำที่ท่อไตแต่กำเนิด มักไม่แสดงอาการ แต่อาจพบการติดเชื้อหรือทำให้เกิดนิ่วในไตได้ อาการของโรคถุงน้ำในไตที่น่ากังวล คือ โดยส่วนใหญ่โรคนี้มักไม่แสดงอาการใดๆเลย จะตรวจพบได้ก็จากการตรวจสุขภาพโดยการทำอัลตราซาวด์หรือสแกนคอมพิวเตอร์ ส่วนอาการที่อาจพบได้บ้าง ก็เช่น ปวดหลังบริเวณบั้นเอว, ปัสสาวะเป็นเลือด, ปัสสาวะเป็นกรวดทรายจากนิ่วในไต, ความดันสูง, ปัสสาวะติดเชื้อ, ท้องโต คลำได้ก้อน ฯลฯโรคถุงน้ำในไตบางประเภทต้องวินิจฉัยเพื่อแยกโรคจากเนื้องอก หรือมะเร็งที่ไต ซึ่ง ส่วนใหญ่แพทย์จะใช้วิธีการตรวจติดตามการรักษาส่วนมากไม่จำเป็นต้องผ่าตัด หากไม่มีอาการแทรกซ้อน หรือถุงน้ำไม่มีลักษณะโตเร็ว หรือลักษณะที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นมะเร็ง การรักษาจึงเป็นเพียงการรับประทานยาตามที่แพทย์แนะนำ และคอยติดตามอาการ รวมถึงประเมินผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ การรักษาเน้นไปที่เรื่องของความดันสูง และป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น นิ่วในไต การติดเชื้อท่อทางเดินปัสสาวะ ไตวาย กินยาจำพวกแอสไพรินพาราเซตามอลเพื่อลดอาการปวดหลัง ยาปฏิชีวนะรักษาท่อปัสสาวะอักเสบส่วนการป้องกัน แพทย์แนะนำวิธีการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการเกิดโรคถุงน้ำในไต ด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอ เลี่ยงการรับประทานอาหารเค็มหรือมีโซเดียมสูง ตรวจติดตามอย่างใกล้ชิด หากมีอาการไข้ ปวดบั้นเอวมาก ปัสสาวะเป็นเลือด ให้รีบไปโรงพยาบาล และระวังการกระทบกระแทกบริเวณบั้นเอวในตำแหน่งที่มีถุงน้ำที่ไตแต่ที่ดีที่สุดคือ ปรับวิถีชีวิตการกิน อยู่ ที่ลดความเสี่ยงต่อโรค ทั้งดื่มน้ำให้มากพอ ลดการกินเค็ม หรือปรุงรสอาหารแบบจัด จะทำให้ไตทำงานหนัก และหมั่นตรวจสุขภาพเพื่อติดตามอาการอยู่เสมอ. คลิกอ่านคอลัมน์ "สมาร์ทไลฟ์" เพิ่มเติม