แบกภาระหนักอึ้งไว้เต็มสองบ่า ในฐานะความหวังใหม่ของราชวงศ์วินด์เซอร์ ที่ต้องเป็นหัวหอกหลักในการจัดทัพใหม่รีแบรนดิ้งสถาบันกษัตริย์อังกฤษให้ทันยุคทันสมัย ไม่ถูกมองว่าคร่ำครึล้าหลัง “เจ้าชายวิลเลี่ยม” ดยุกแห่งเคมบริดจ์ จึงทรงเดิมพันด้วยหัวใจและชีวิต อุทิศพระองค์อย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อค้ำยันราชบัลลังก์ ภายใต้รอยยิ้มอบอุ่นจริงใจ และท่าทีสุภาพอ่อนโยนดูนุ่มนวลแฝงความอ่อนไหว ซึ่งถอดแบบเต็มๆมาจากพระมารดา “เจ้าหญิงไดอาน่าผู้ล่วงลับ” องค์รัชทายาทอันดับสองของวินด์เซอร์สามารถเอาชนะใจประชาชนชาวอังกฤษมาอย่างต่อเนื่องด้วยบุคลิกน่าเชื่อถือเป็นที่พึ่งพาได้ โดยโพลสำรวจล่าสุดของ “YouGov” ชี้ว่า “เจ้าชายวิลเลี่ยม” ทรงเป็นพระราชวงศ์อังกฤษที่มีคะแนนนิยมมากที่สุดเป็นอันดับสอง เป็นรองก็เพียงองค์ควีนเอลิซาเบธที่สอง ด้วยคะแนนนิยม 66% ตามติดมาด้วยพระชายา “เจ้าหญิงเคท” ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ มีคะแนนนิยม 60% ตอกย้ำให้เห็นถึงอนาคตอันมั่นคงราวกับเสริมใยเหล็ก สมัยยังมีพระชนม์ชีพอยู่ “เจ้าหญิงไดอาน่า” เคยเปรยๆว่า พระองค์คิดว่าเจ้าชายแฮร์รี่ทรงมีคุณสมบัติเหมาะจะเป็นกษัตริย์มากกว่าเจ้าชายวิลเลี่ยม แต่เมื่อฟ้าลิขิตให้ “ดยุกแห่งเคมบริดจ์” เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากพระราชบิดา “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” ก็ทรงพิสูจน์แล้วว่าสามารถรับภารกิจหนักอึ้งดังกล่าวได้อย่างสง่างามสมกับเป็นเลือดขัตติยา โดยมี “เจ้าหญิงเคท” ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ เป็นคู่คิดคู่สร้างภาพ ในยุคแรกเริ่มของการก้าวสู่ยุคสมัยใหม่ของราชวงศ์อังกฤษ ที่ควีนเอลิซาเบธที่สองทรงวางตัวให้ 4 พระราชวงศ์รุ่นใหม่อย่าง “เจ้าชายวิลเลี่ยม” และ “เจ้าหญิงเคท” กับ “เจ้าชายแฮร์รี่” และ “เมแกน มาร์เคิล” เป็นดรีมทีมสำคัญในการปฏิวัติภาพลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์อังกฤษให้ทันสมัยขึ้น ทุกอย่างดูดีและทำท่าว่าจะไปได้สวยตามแผน กระนั้น ผลจากกระแสความนิยมและความเด่นดังของคู่บ้านซัสเซกซ์ที่เกินหน้าเกินตา ได้สร้างความหงุดหงิดใจ อย่างมากให้ “เจ้าชายวิลเลี่ยม” ซึ่งเคยครองพื้นที่สื่อมาตลอด ในฐานะรัชทายาทอันดับสองของอังกฤษ สุดท้ายดรีมทีมก็วงแตก!! เหลือไว้แต่รอยบาดหมางระหว่างพี่น้องวินด์เซอร์ “เจ้าชายองค์น้อง” ยอมรับว่า เริ่มขุ่นเคืองใจตั้งแต่โดน “เจ้าชายองค์พี่” ทักถึงความไม่เหมาะสมในการเลือกดาราฮอลลีวูดที่เคยผ่านการสมรสแล้วมาเป็นพระชายา แถมพี่ยังเตือนน้องตรงๆด้วยความหวังดีว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนารวดเร็วเกินไป แต่แทนที่จะฟังคำทัดทาน “เจ้าชายแฮร์รี่” กลับโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงยิ่งเหมือนเอาน้ำมันราดบนกองไฟ เมื่อ “ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์” ทำตัวเป็นพี่สะใภ้แสนดี พยายามอธิบายให้น้องสะใภ้ “ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์” เข้าใจถึงกฎเกณฑ์การเป็นสมาชิกราชวงศ์ แต่คำแนะนำกลับไม่ได้รับการตอบสนองด้วยดี ทำให้เจ้าหญิงเคทรู้สึกเสียใจมาก และคิดว่า “เจ้าชายแฮร์รี่” ถูกพระชายาจูงจมูก เมื่อเรื่องราวเลยเถิดไปถึงขั้น “เจ้าชายแฮร์รี่” และ “เมแกน มาร์เคิล” ขอถอนสายบัวลาออกจากการเป็นพระราชวงศ์วินด์เซอร์ พร้อมเก็บกระเป๋าหนีจากอังกฤษไปใช้ชีวิตใหม่ในดินแดนเสรีอเมริกา ภาระหนักอึ้งทั้งหมดจึงตกอยู่กับองค์รัชทายาทอันดับสองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซ้ำร้ายหนักมาเจอคดีล่วงละเมิดทางเพศผู้เยาว์ของ “เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์” ที่พัวพันกับการค้าประเวณีของ “เจฟฟรีย์ เอปสตีน” จนถูกถอดยศทหารและสั่งยุติทุกบทบาทในฐานะพระราชวงศ์ ทั้ง “เจ้าชายวิลเลี่ยม” และ “เจ้าหญิงเคท” ก็รับศึกหนัก!! แทบจะแยกร่างไม่ทันเพื่อแบ่งงานกันเดินสายออกปฏิบัติพระกรณียกิจแทนพวกแกะดำ โดยเฉพาะในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งคู่ได้พิสูจน์ให้ประชาชนเห็นถึงความทุ่มเทมุ่งมั่นเสียสละ โดยช่วยกันนำทีมลุยงานการกุศลและจิตอาสามากมาย รวมถึงการเป็นอาสาสมัครช่วยงานสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ ที่เป็นทัพหน้าสู้ภัยโควิด-19 ตลอดจนเป็นผู้แทนพระองค์ไปร่วมการประชุมใหญ่ๆมาแล้วหลายเวที ในขณะที่องค์ควีนเอลิซาเบธที่สองทรงติดเชื้อโควิด-19 และมีพระอาการประชวรต่อเนื่อง ก็ได้ “เจ้าชายวิลเลี่ยม” เป็นกำลังสำคัญในการช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจต่างๆจาก “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” เรียกว่าทรงพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้อย่างน่ายกย่อง เปลี่ยนจาก “เจ้าชายองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์” กลายมาเป็น “ว่าที่กษัตริย์ผู้ทรงงานหนักไม่หยุดหย่อนเพื่อประชาชน” ผู้เชี่ยวชาญด้านราชวงศ์ของอังกฤษ ตั้งข้อสังเกตว่า “เจ้าชายวิลเลี่ยม” ทรงมีบทบาทมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่การสิ้นพระชนม์ของพระอัยกา “เจ้าชายฟิลิป” และเป็นไปได้ว่านี่อาจเป็นการกรุยทางไปสู่การเป็นกษัตริย์ โดยไม่ต้องรอการสืบทอดต่อจากพระราชบิดา หรือพูดง่ายๆว่าข้าม “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” ไปเป็นคิงต่อจากควีนเอลิซาเบธที่สองเลยอย่างไรก็ดี ตำแหน่ง “ว่าที่กษัตริย์” ย่อมมาพร้อมกับภารกิจอันหนักหน่วง ที่ต้องเป็นแนวหน้าและศูนย์กลางการกอบกู้ชื่อเสียงภาพลักษณ์ของราชวงศ์วินด์เซอร์ ที่ถูกซ้ำเติมมาอย่างต่อเนื่องด้วยเรื่องอื้อฉาวสารพัด หาก “เจ้าชายวิลเลี่ยม” ข้ามพระราชบิดาขึ้นไปเป็น “กษัตริย์” ก็ต้องยอมรับว่าราชวงศ์อังกฤษได้เปิดใจกว้างแล้วจริงๆ เพื่อแลกกับอนาคตความมั่นคงของสถาบัน ที่ต้องเร่งปรับตัวอย่างหนักเพื่อทัดทานกระแสต้านของคนรุ่นใหม่ บุคลิกอ่อนนอกแข็งใน...อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอของ “ว่าที่กษัตริย์หนุ่ม” ปรากฏให้สาธารณชนได้เห็นหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงเมื่อครั้ง “เจ้าชายแฮร์รี่” และ “เมแกน” โยนระเบิดใส่ราชวงศ์วินด์เซอร์ ออกมาให้สัมภาษณ์กับ “โอปราห์ วินฟรีย์” ตีโพยตีพายว่าถูกพระราชวงศ์เหยียดผิว และแสดงความกังวลว่าผิวของ “อาร์ชี” จะคล้ำแค่ไหน งานนี้ “เจ้าชายวิลเลี่ยม” ทรงฟาดกลับนิ่มๆว่า พวกเราไม่ใช่ครอบครัวที่เหยียดผิวเลย ขณะที่สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ว่า ประเด็นที่ทั้งสองหยิบยกขึ้นมาเป็นเรื่องน่าห่วง แต่ก็ควรจะพูดกันเป็นการส่วนตัว แม้ความทรงจำอาจแตกต่างกันไป แต่ดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ รวมถึงโอรส “อาร์ชี” ยังคงเป็นสมาชิกของครอบครัววินด์เซอร์ที่เป็นที่รักมากเสมออีกหนึ่งเหตุการณ์พิสูจน์ความเป็นผู้นำทันยุคทันเหตุการณ์ของ “เจ้าชายวิลเลี่ยม” คือ การเรียกประชุมฉุกเฉินเจ้าหน้าที่ระดับสูง หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับการเสด็จเยือน 3 ประเทศในแถบทะเลแคริบเบียน ซึ่งเป็นดินแดนอาณานิคมในอดีตของอังกฤษ โดยเกิดปัญหาตั้งแต่เริ่มต้นจากการประท้วงถึงการใช้ทาสในยุคล่าอาณานิคมอังกฤษในอดีต จนต้องแก้เกมเฉพาะหน้าด้วยการออกแถลงการณ์เคารพการตัดสินใจของประชาชนชาวแคริบเบียนว่าจะอยู่ร่วมกับราชวงศ์อังกฤษต่อไปหรือไม่นอกจากจะทรงแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์อันโหดร้ายในอดีต โดยระบุว่าการใช้ทาสในยุคล่าอาณานิคมถือเป็นสิ่งที่น่าอัปยศสำหรับอังกฤษ “เจ้าชายวิลเลี่ยม” ยังทรงออกแถลงการณ์ว่า เราเคารพการตัดสินใจของพวกท่านเกี่ยวกับอนาคตของพวกท่านเอง ความสัมพันธ์มีการเปลี่ยนแปลง แต่ความเป็นมิตรยังคงอยู่ ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าทรงรับรู้ถึง ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างราชวงศ์อังกฤษ กับ 3 ประเทศหมู่เกาะแคริบเบียน คือ เบลีซ, จาเมกา และบาฮามาส ในแถลงการณ์ยังระบุว่า ในปีหน้าข้าพเจ้ารู้ว่าพวกท่านเฝ้ารอการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ของการเป็นเอกราช ครบรอบปีทองของพวกท่าน และพร้อมไปกับจาเมกาเฉลิมฉลอง 60 ปี ของการเป็นเอกราชในปีนี้ และเบลีซเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปี ของการเป็นเอกราชในปีที่ผ่านมา เราสนับสนุนด้วยเกียรติภูมิและความนับถือต่อการตัดสินใจของพวกท่านเกี่ยวกับอนาคตของพวกท่านเอง “เจ้าชายวิลเลี่ยม” ทรงย้ำว่า ทั้งพระองค์และพระชายา ทรงอยู่ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนประชาชน ไม่ได้เป็นผู้ที่ออกคำสั่งในการประชุมฉุกเฉินร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูง “ดยุกแห่งเคมบริดจ์” ทรงมีแผนลดจำนวนเจ้าหน้าที่ของพระองค์ลงกึ่งหนึ่งจากจำนวนข้าราชบริพารในสังกัด “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นหลังทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่ง พร้อมกันนี้ยังมีพระประสงค์จะยุติธรรมเนียมที่ยาวนานของราชวงศ์อังกฤษต่อจุดยืน “ห้ามบ่น ห้ามอธิบาย” (never complain, never explain) เพื่อปฏิวัติให้ราชวงศ์อังกฤษมีความทันสมัย, สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และเข้าถึงประชาชนทุกระดับมากขึ้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา “เจ้าชายวิลเลี่ยม” ทรงพยายามสร้างบรรทัดฐานขึ้นใหม่ และพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการเข้าถึงผู้คนอย่างเป็นกันเอง เปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจนขึ้น รวมถึงการใช้พลังจากสื่อโซเชียลยุคใหม่ ช่วยให้พระราชวงศ์สามารถครองใจประชาชน ได้อย่างแท้จริง ราชวงศ์อังกฤษพร้อมแล้วที่จะย่างกรายเข้าสู่ยุคสมัยอันน่าตื่นเต้น และช่วงเปลี่ยนผ่านของการผลัดใบราชวงศ์ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย!!ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ