เมื่อเอ่ยถึงสาเหตุของการหายไปของไดโนเสาร์เมื่อ 66 ล้านปีก่อน ทฤษฎีที่มักใช้อธิบายจนรู้จักอย่างกว้างขวางก็คือดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งพุ่งชนโลกและคร่าชีวิตสัตว์เกือบทุกชนิดบนโลก ซึ่งสันนิษฐานว่าหลักฐานการชนที่หลงเหลืออยู่ก็คือแอ่งอุกกาบาตชิกชูลูบ (Chicxulub) บริเวณใต้คาบสมุทรยูคาทานในเม็กซิโกภัยจากนอกโลกจึงสร้างความกังวลและทำให้มนุษย์พยายามค้นหาวิธีพิทักษ์โลก ซึ่งหนึ่งในวิธีที่เป็นรูปธรรมแล้วก็คือโครงการ DART (Double Asteroid Redirection Test) ขององค์การนาซา ในการส่งยานอวกาศไปเบี่ยงเบนวงโคจรของดาวเคราะห์น้อยไม่ให้พุ่งชนโลก ยาน DART ส่งขึ้นสู่อวกาศด้วยจรวดฟัลคอน 9 ของสเปซเอ็กซ์ จากฐานทัพอวกาศแวนเดนเบิร์ก ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันก่อน เป้าหมายคือระบบดาวเคราะห์น้อยคู่ที่ประกอบด้วยดาวเคราะห์น้อยหลัก ดิดิมอส (Didymos) ขนาด 780 เมตร และดวงจันทร์บริวารคือดิมอร์ฟอส (Dimorphos) มีเส้นผ่า ศูนย์กลาง 160 กิโลเมตร ซึ่งดิมอร์ฟอสโคจรรอบดิดิมอสทุก 11 ชั่วโมง 55 นาที พวกมันเป็นเศษซากที่หลงเหลือจากการก่อตัวของระบบสุริยะเมื่อ 4,600 ล้านปีก่อน โดยยาน DART จะใช้เวลาเกือบ 1 ปีในการเดินทางไปยังระบบดาวเคราะห์น้อยดังกล่าวที่อยู่ห่างจากโลกมากกว่า 10.4 ล้านกิโลเมตรแม้ทั้งคู่จะไม่เป็นอันตรายต่อโลกแต่เหมาะที่จะใช้ทดสอบและสังเกตการณ์ ภารกิจของยาน DART คือการชนเข้ากับดิมอร์ฟอสด้วยความเร็วประมาณ 24,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อทำให้วงโคจรของดวงจันทร์เล็กๆนี้เปลี่ยนแปลง ซึ่งทีมของโครงการ DART คาดว่าการชนนี้จะทำให้เส้นทางโคจรสั้นลงประมาณ 10 นาที และจะใช้กล้องโทรทรรศน์รวมถึงเรดาร์จากภาคพื้นดิน วัดว่าวงโคจรของดวงจันทร์ดิมอร์ฟอสที่โคจรรอบดิดิมอสมีการเปลี่ยนแปลงเบี่ยงเบนไปมากเพียงใด. (ภาพประกอบ Credit : NASA/Johns Hopkins APL/Steve Gribben)