ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะปลุกปั้นบริษัทเกมออนไลน์เล็กๆให้แปลงร่างจากยูนิคอร์น กลายเป็นบริษัทเทคทรงอิทธิพลที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ที่ยากยิ่งกว่าคือทำยังไงจะรักษาความเป็น “บริษัทใหญ่แต่หัวใจสตาร์ตอัพ” ไว้ได้ ทั้งๆที่อาณาจักรธุรกิจของ “Sea Group” และ “Sea (ประเทศไทย)” สยายปีกเติบโตก้าวกระโดดไปไกลแล้ว ขึ้นแท่นเป็นบริษัทเทครวยที่สุดในอาเซียน หลังจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก เมื่อปี 2017 โดยปัจจุบันมีมาร์เก็ตแคป 170,000-180,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีพนักงานกระจายอยู่ทั่วโลกกว่า 30,000 คนในฐานะหัวเรือใหญ่นำทัพ “Sea (ประเทศไทย)” บุกตลาดเกมออนไลน์, ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ และธุรกิจบริการทางการเงินดิจิทัลในเมืองไทย “นก–มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sea (ประเทศไทย) บอกเล่าถึงเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม กว่าจะประสบความสำเร็จสร้างชื่อให้ “Garena” เป็นบริษัทเกมออนไลน์ยอดฮิตในไทย และปลุกปั้น “Shopee” ติดลมบนแพลตฟอร์มช็อปปิ้งออนไลน์เบอร์หนึ่งของอาเซียน พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ทำยังไงจึงเก็บรักษาวัฒนธรรมสตาร์ตอัพไว้ในบริษัทใหญ่เบิ้มได้“ปี 2014 นกเข้ามาร่วมงานกับ “Sea (ประเทศไทย)” ซึ่งขณะนั้นใช้ชื่อ “Garena (ประเทศไทย)” ในตำแหน่งประธานบริหารฝ่ายปฏิบัติการ ตามคำชวนของ “ฟอร์เรสต์ ลี” เพื่อนเรียนเอ็มบีเอที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง “Garena” บริษัทเกมสตาร์ตอัพสัญชาติสิงคโปร์ ถึงแม้เราจะเป็นประเทศสุดท้ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ “การีนา” เข้ามา แต่เสียงตอบรับดีมาก เพราะคนไทยชอบเล่นเกม ตั้งแต่ปีแรกๆที่เข้าไทยเราก็มีฐานยูสเซอร์หลายสิบล้านคนตอนนั้นโจทย์ที่ได้คือ ทำยังไงให้คนไทยได้ลองเล่นเกมของ “การีนา” เราเลยบุกร้านอินเตอร์เน็ตทั่วประเทศ เอาซอฟต์แวร์และสิทธิพิเศษต่างๆ ไปให้เขาใช้ เพื่อช่วยโปรโมตเกมเรา ขณะเดียวกันก็ทำคอนเทนต์เกมเป็นภาษาไทยเพื่อโลคัลไลซ์ให้เข้ากับคนเล่น รวมทั้งจัดอีเวนต์ให้คนเล่นเกมรวมตัวกัน สร้างคอมมูนิตี้ให้รู้สึกว่ามันเป็นมากกว่าเกม โดยเกมที่ประสบความสำเร็จมากคือ RoV ทีมของเราสังเกตจากพฤติกรรมการเล่นเกมของคนไทย ส่วนใหญ่ไม่ชอบอยู่คนเดียว ชอบการมีสังคม เราเลยใช้จุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างเกมใหม่ ถ้าถามว่าอะไรคือจุดร่วมที่ทำให้เกมของเราประสบความสำเร็จ ก็คือคอนเทนต์ที่มีความต่อเนื่อง มีสิ่งใหม่ให้อัปเดตเรื่อยๆ ทำให้คนเล่นสามารถขยายคอมมูนิตี้เรื่อยๆ” ยุคนั้นอะไรคืออุปสรรคใหญ่ในการบุกเบิกตลาดเกมออนไลน์ในไทยเราเริ่มธุรกิจจากการให้บริการเกมออนไลน์บน PC ต่อมาจึงขยายสู่บริการบนมือถือ อุปสรรคตอนแรกคือคนไทยส่วนใหญ่มองธุรกิจเกมในแง่ลบ ยังไม่เข้าใจว่าจะเป็นอาชีพที่ก่อให้เกิดรายได้ยังไง ทั้งๆที่ตลาดอเมริกาและยุโรปให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมเกมออนไลน์ เพราะเป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูง ต้องใช้ทักษะและเทคโนโลยีเยอะในการพัฒนา “การีนา” มีส่วนแค่ไหนในการผลักดันเด็กไทยให้พัฒนาไปสู่อาชีพนักกีฬาอีสปอร์ตเราเริ่มผลักดันตั้งแต่วันแรกที่เข้าไทย จัดอีเวนต์คัดเลือกตัวแทนจากทีมไทยไปแข่งระดับโลก แต่ปีทองของอีสปอร์ตคือ ปี 2017 เมื่อสภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย ประกาศให้ “E-Sports” ได้รับการบรรจุเป็นกีฬาอย่างเป็นทางการในเอเชียนเกมส์ 2022 ทำให้อีสปอร์ตได้รับการยอมรับมากขึ้นในไทย ตอนนี้เพอร์เซปชันสังคมไทยที่มีต่อธุรกิจเกมเปลี่ยนไปมาก สมัยก่อนพาร์ตเนอร์ธุรกิจไม่อยากเอาตัวเองเข้ามาผูกกับธุรกิจเกม แต่ทุกวันนี้หลายธุรกิจมองว่าเกมออนไลน์คือช่องทางสำคัญในการเข้าหากลุ่มคนรุ่นใหม่ เริ่มมีธุรกิจหลากหลายมาสปอนเซอร์การแข่งเกม นอกจากนี้ธุรกิจเกมยังเข้าไปมีบทบาทในภาคการศึกษามา 4-5 ปีแล้ว เราใช้เกมเป็นเครื่องมือดึงดูดความสนใจเพื่อสร้างทักษะด้านดิจิทัลให้น้องๆเยาวชน การพัฒนาเกมแต่ละเกมต้องอาศัยทักษะดิจิทัลหลายอย่างที่เป็นอาชีพแห่งอนาคต ทั้งกราฟิกดีไซน์, แอนิเมชัน และการเขียนโคดดิ้งเราเซ็นเอ็มโอยูกับหลายมหาวิทยาลัยเพื่อสนับสนุนเรื่องเหล่านี้ จากธุรกิจเกมต่อยอดไปยังการเงินดิจิทัลได้อย่างไรเราตั้งเป้าว่าจะต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาทำให้ชีวิตคนดีขึ้นสะดวกสบายมากขึ้น เมื่อเห็นช่องโหว่เรื่องการเติมเงินเล่นเกม จึงเริ่มทำ “AirPay” ในเมืองไทย (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น “ShopeePay”) เพื่อให้สามารถเติมเงินในเกม, เติมเงินมือถือ, เป็นกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ใช้ชำระเงินตามเคาน์เตอร์ในร้านค้าต่างๆทั่วประเทศ และสามารถชำระบิลค่าบริการสาธารณูปโภคทุกอย่าง รวมถึงซื้อตั๋วหนังและตั๋วเครื่องบิน ก่อนจะขยายมาให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล เพื่อส่งเสริมประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบง่ายขึ้น ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้กลุ่มธุรกิจบริการทางการเงินออนไลน์ “SeaMoney” ความยากคือทำยังไงให้คนไทยเปิดใจรับเทคโนโลยีใหม่ๆยอมใช้จ่ายเงินผ่านทางออนไลน์ ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อน คนไทยไม่เข้าใจคำว่าสังคมไร้เงินสด แม้แต่คนที่มีการศึกษาก็คิดหนักเวลาจะให้ข้อมูลบัตรทางออนไลน์ กระทั่งรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนอี-เพย์เมนต์มากขึ้น และยิ่งในช่วงวิกฤติโควิด-19 ทุกอย่างถูกล็อกดาวน์ คนไทยยิ่งตอบรับเรื่องนี้เร็วมาก จริงไหม “Shopee” คือแจ็กผู้ฆ่ายักษ์ที่จะมาทำลายอุตสาหกรรมค้าปลีกเมืองไทยตอนที่เราทำ “Shopee” เมื่อปี 2015 ตลาดอี-คอมเมิร์ซในจีนกำลังบูมมาก เราคิดว่าตลาดไทยน่าจะไล่ตามจีนอยู่ 5 ปี จึงตัดสินใจลุยสร้างแพลตฟอร์มช็อปปิ้งออนไลน์ที่ง่าย ปลอดภัย และรวดเร็ว โดยระบบการจ่ายเงินต้องรัดกุม แต่จากวันนั้นจนวันนี้ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในไทยยังเป็นธุรกิจเผาเงินแบกขาดทุน!! เราคงทำลายใครไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแค่เชื่อว่าอี-คอมเมิร์ซจะเข้ามาช่วยเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่มีความเป็นดิจิทัลมากกว่า ปัจจุบันอี-คอมเมิร์ซไทยเพิ่งได้มาร์เก็ตแชร์ 8-10% ขณะที่อี-คอมเมิร์ซในจีนโตไป 50% และเกาหลีโต 29% แต่เราก็ต้องยอมลงทุนเพื่ออนาคต ถ้าพูดถึงจุดแข็งของ “Shopee” คือเป็นโมบายเซ็นทริค ทุกการออกแบบจะเน้นไปที่ผู้ใช้มือถือ นอกจากนี้ยังใส่ความเป็นโลคัลไลซ์ให้เข้ากับคนไทย เรามีฟีเจอร์ที่เข้ามาตอบปัญหาและแก้ปัญหาความปลอดภัย มี “Shopee Guarantee” ให้จ่ายเงินหลังได้รับสินค้า มีกล่องเมสเสจให้ผู้ซื้อกับผู้ขายสามารถคุยกัน และจัดเวิร์กช็อปเอาผู้ขายเก่งๆมาแชร์เทคนิคการขายออนไลน์ ในฐานะซีอีโอบริษัทเทค มีเคล็ดลับบริหารองค์กรอย่างไรไม่ให้เป็นยักษ์หลับแม้วันนี้บริษัทเราจะใหญ่ขึ้นมาก มีพนักงานทั่วโลกรวมกันกว่า 30,000 คน และในไทยมีอยู่ 7,000 คน แต่เราก็พยายามรักษาวัฒนธรรมความเป็นสตาร์ตอัพ และวิธีการทำงานแบบ “Agile” ลดขั้นตอนและงานเอกสาร แต่มุ่งเน้นเรื่องการสื่อสารกันในทีมมากขึ้น เพื่อช่วยให้งานเดินหน้าได้เร็วขึ้น องค์กรยุคใหม่ต้องคิดเร็วทำเร็วปรับตัวให้เร็ว บริษัทเราอายุเพิ่ง 10 กว่าปี เรายังต้องปรับโครงสร้างองค์กรอีกเยอะ และพัฒนาน้องๆให้เติบโตไปกับธุรกิจของบริษัทมากขึ้น นกเชื่อในเรื่องสปิริตความเป็นอองเทอเพอเนอร์ และความเป็นสตาร์ตอัพ จะให้โอกาสน้องๆทุกคนได้แสดงผลงานสร้างตัวเอง จะบอกน้องๆว่าแต่ละโปรเจกต์ที่ทำก็คือโปรเจกต์ของคุณ เราอยากให้เขารันด้วยความรู้สึกเป็นเจ้าของโปรเจกต์จริงๆ นกคุยแค่ว่าอยากได้ไดเรกชันยังไง ส่วนวิธีการไปสู่เป้าหมายให้อิสระคิดกันเอง ขณะเดียวกัน ก็มีกรอบใหญ่ที่ทุกคนจะต้องเดินไปสู่เป้าหมายเดียวกัน วิธีการนี้เหมาะกับพนักงานเรา ซึ่ง 90% เป็นคนเจน Z และเจน Y อะไรคือหัวใจสำคัญของการสร้างทีมที่ดีในวงการเทคการสร้างทีมที่ดี ไม่ใช่การหาคนเก่งๆมารวมกัน แต่เป็นการหาคนที่ใช่มารวมตัวกัน ซึ่งคนที่ใช่สำหรับนก คือคนที่เราบอกเขาว่าจะไปจุดนี้ แล้วเขามองเห็นเป้าหมายเดียวกับเรา ส่วนจะเดินไปแบบไหนก็แล้วแต่ สุดท้ายค่อยไปเจอกันที่ปลายทาง คนเก่งแค่ไหนก็หาได้ แต่ถ้ามองไม่เห็นไดเรกชันเดียวกัน เข้ามาก็ไม่สามารถทำงานด้วยกันได้ มีเยอะที่อยู่กับเราตั้งแต่เรียนจบ และพัฒนาตัวเองจนขึ้นเป็นเมเนเจอร์ดูแลยูนิตต่างๆ ทั้งที่อายุเพิ่ง 30 ต้นๆ เราให้เวทีให้โอกาสทุกคนเต็มที่ นกเชื่อมากๆเรื่องการเปิดใจกว้าง จะพูดเสมอว่าถ้าน้องอยากโตอยากเก่งก็ต้องโอเพ่นมายด์ เช่นเดียวกับพี่ๆต้องเปิดใจกว้างรับฟังน้องๆ ไม่ใช่บล็อกวิธีทำงานให้เป็นแบบเราตลอดเวลา บริษัทก็จะโตไม่ได้ หลังยุคโควิด–19 อนาคตของธุรกิจเทคจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างไรโควิดจะเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคถาวร จะมีการใช้ดาต้าเข้ามาต่อยอดธุรกิจมากขึ้น เพื่อเชื่อมโยงออนไลน์กับออฟไลน์เข้าหากัน อีกเทรนด์อนาคตคือ เราจะเห็นการเพอร์ซันแนลไลเซชันมากขึ้น ยูสเซอร์จะโดนสปอยล์เยอะขึ้น ถ้าแบรนด์ไหนคัสตอมไมซ์ได้ก็จะได้ยูสเซอร์เพิ่มขึ้น สมัยก่อนเราอาจไปร้านที่บริการดี หรือราคาดี ต่อไปพฤติกรรมผู้บริโภคจะเปลี่ยนเป็นว่า ร้านไหนรู้จักฉันมากกว่ากัน ฉันจะไปอุดหนุนร้านนั้นรู้สึกยังไงที่การดิสรัปชันของเทคโนโลยี ถูกมองเป็นภัยคุกคามสำหรับหลายอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไม่ได้เข้ามาทำลายอุตสาหกรรม แต่เข้ามาดิสรัปต์เพื่อทำให้ภาพรวมของหลายอุตสาหกรรมพัฒนาดีขึ้น เช่น ตอนที่ “อี-วอลเล็ต” เข้าไทยใหม่ๆ ทุกคนก็มองว่าเราจะเข้ามาทำลายอุตสาหกรรมธนาคาร แต่ในความจริงเราไม่มีทางแทนที่ธนาคารได้ ยังมีอีกหลายอย่างมากที่ธนาคารทำได้แต่บริษัทเทคทำไม่ได้ เพียงแต่โครงสร้างที่ใหญ่ของธนาคารทำให้ขยับตัวไม่เร็วเท่าบริษัทที่เริ่มจากสตาร์ตอัพ ในฐานะดิจิทัลคอมพานี นกคิดเสมอว่าทำยังไงจะมีส่วนในการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นดิจิทัลเนชันเต็มตัว ทำยังไงจะทำให้คนไทยสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างเท่าเทียมกัน บริการของเราจึงพยายามให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้คนที่อยู่ต่างจังหวัดก็สามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้เต็มที่ แม้กระทั่งธุรกิจเกม เราก็ร่วมกับภาคการศึกษาเพื่อสร้างอาชีพให้คนวงการเกม รวมถึงในช่วงวิกฤติโควิด “Shopee” เข้าไปจับมือกับภาครัฐและเอกชน เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้งานชาวไทยที่ได้รับผลกระทบ ผ่านโครงการ “ShopeeTogether รวมพลัง สู้ไปด้วยกัน” และ “ช้อปปี้ช่วยเปย์” ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย ส่งเสริมให้เกิดสภาพคล่องแก่ผู้ใช้งานชาวไทย และกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ มาถึงวันนี้คำถามที่ต้องตอบให้ได้คือจะใช้เทคโนโลยียังไงเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์มากขึ้น และเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียมกัน.ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ