อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นปีแล้ว ย้อนกลับไปสำรวจตัวเอง ยังมีหลายสิ่งที่ต้องทำ ส่วนพฤติกรรมที่อยากเลิกทำคือ เป็นแม่กระเชอก้นรั่ว สุรุ่ยสุร่าย ไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบ ปล่อยให้เงินรั่วโดยไม่รู้ตัว เพราะนิสัยเล็กๆที่มองไม่เห็น ทำงานหนักแทบตาย แต่เงินกลับไม่เพิ่มตามความทุ่มเทถอดรหัสนิสัยการเงิน ทำไมเรายังเก็บเงินไม่อยู่ ทั้งที่ตั้งใจมุ่งมั่นทุกครั้ง แม้จะไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย ไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหรา แต่ทุกสิ้นเดือนเงินกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย นี่คือปัญหาคลาสสิกที่หนังสือ “เทคนิคเลิกเป็นคนเก็บเงินไม่อยู่” ของนักเขียนรุ่นใหม่ “มินิมอลลิสต์ ทาเครุ” หยิบขึ้นมาผ่ากลางใจผู้อ่านชีวิตมั่งคั่งไม่ใช่เรื่องยาก แค่ทิ้งสิ่งไม่จำเป็นไปให้หมด! หนังสือเล่มนี้ไม่ได้สอนรวยทางลัด ไม่ขายฝันหุ้นสิบเด้ง แต่พาย้อนดูนิสัยการใช้เงินของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา พร้อมเสนอแนะเทคนิคเล็กๆที่เปลี่ยนผลลัพธ์ได้จริงในชีวิตประจำวัน“เงินหายเพราะเราไม่เคยมองมันตรงๆ” นี่คือแก่นหลักของหนังสือเล่มนี้ คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองใช้เงินไปกับอะไรบ้าง ค่าใช้จ่ายเล็กๆที่ช่วยฮีลใจ เช่น กาแฟ, แพลตฟอร์มสตรีมมิง, ค่าส่งอาหาร หรือโปรโมชันลดราคา กลายเป็นรูรั่วทางการเงินใหญ่เบ้อเริ่มกว่าที่คิด ปัญหาเงินรั่วไม่ได้เกิดจากความฟุ่มเฟือยแบบสุดโต่ง แต่เกิดจากค่าใช้จ่ายเล็กๆที่สะสมโดยไม่รู้ตัว และเข้าใจผิดว่าถ้าเหลือค่อยเก็บ แต่ทุกเดือนควรให้รางวัลตัวเองหลังเหนื่อยจากการทำงานอยากจะอุดรูรั่วทาง การเงิน ทำได้ด้วยเทคนิคง่ายๆแต่ได้ผลดี คือ “บันทึกทุกบาทที่จ่ายอย่างซื่อสัตย์” ไม่ใช่เพื่อกดดันตัวเอง แต่เพื่อสร้าง “สติทางการเงิน” ให้เห็นพฤติกรรมจริงปัญหาของการเก็บเงินไม่อยู่ ยังอาจเกิดจากการตั้งเป้าผิดตั้งแต่ต้น คนส่วนใหญ่มักตั้งเป้าใหญ่เกินไป เช่น เดือนนี้จะเก็บเงินให้ได้ 30% สุดท้ายก็จบลงด้วยความล้มเหลวและท้อใจ เทคนิคที่ได้ผลกว่าคือ เริ่มจากจำนวนเงินเก็บที่ “ไม่เจ็บ” แต่ทำได้จริงทุกเดือน แม้เพียง 5-10% ก็เพียงพอ หากทำอย่างสม่ำเสมอ เพราะความสำเร็จทางการเงินไม่ได้เกิดจากวินัยฮีโร่ แต่เกิดจากความต่อเนื่องทุกวัน“แยกเงินก่อนใช้ คือหัวใจของคนเก็บเงินอยู่” หลักการสำคัญอยู่ที่ต้องออมก่อนใช้ ไม่ใช่ใช้แล้วค่อยออม ลองแยกบัญชีออมทันทีที่เงินเดือนออก และทำให้เงินก้อนนั้น “แตะยาก” ไม่ว่าจะเป็นบัญชีฝากประจำ, กองทุน หรือระบบหักอัตโนมัติ เมื่อเงินไม่อยู่ในมือ สมองจะปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายเองโดยอัตโนมัติ นี่คือจิตวิทยาการเงินขั้นสุด“เงินไม่ใช่ศัตรู แต่คือกระจกสะท้อนตัวตน” การจัดการเงิน ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่คือเรื่องทัศนคติ, ความเคยชิน และการรู้จักตัวเอง ถามตัวเองแบบตรงไปตรงมาว่า เราใช้เงินเพื่อความสุข หรือเพื่อกลบความเครียด, เรากลัวการไม่มีเงิน หรือกลัวการอดใช้ และเราอยากมั่นคงในชีวิตแบบไหนกันแน่“แค่ทิ้งสิ่งของที่ไม่จำเป็นจะทำให้ชีวิตเปลี่ยน” การลดจำนวนสิ่งของลงไม่เพียงเปลี่ยนวิธีจัดการสิ่งของเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนวิธีจัดการเงินและเวลาด้วย เมื่อพฤติกรรมของเราเปลี่ยนไป นิสัยก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย ก่อนจะเริ่มทำอะไรให้นึกถึงการทิ้ง อย่าแบกทุกอย่างเอาไว้มากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นงาน, งานบ้าน, ความสัมพันธ์กับคนอื่น, ความฟุ่มเฟือย, สิ่งของ หรือนิสัย มีอะไรที่สามารถทิ้งหรือลดลงได้บ้าง ถ้ามีก็ให้ลองโยนทิ้งไป“ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเมื่อใช้ชีวิตแบบมินิมอล” ตระหนักว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิต คนส่วนใหญ่จะนึกถึงการใช้ชีวิตแบบที่มีของน้อยชิ้น ดูน่าเบื่อและอัตคัดขัดสน แต่ในความจริง คนที่ใช้ชีวิตแบบมินิมอลถึงแก่น คือคนที่ได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานในแบบของตัวเอง แถมยังมีเงินและเวลาเพิ่มมากขึ้น จนเรียกว่าเป็นต้นแบบของชีวิตในฝันเพียงแค่ปรับนิสัยเล็กๆน้อยๆ เปลี่ยนนิสัยวันละนิดอย่างต่อเนื่อง โชคชะตาของคุณก็จะเปลี่ยนไปเอง ความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ตัวเงินที่งอกเงย แต่อยู่ที่การได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและผ่อนคลาย “เทคนิคเลิกเป็นคนเก็บเงินไม่อยู่” ไม่ได้เปลี่ยนคุณให้รวยในชั่วข้ามคืน แต่ช่วยเปลี่ยนจากคนที่เงินรั่วไหลออกตลอดเวลา กลายเป็นคนใหม่ที่เงินเริ่มอยู่ติดบัญชีนานขึ้นทุกเดือน นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของการมีอิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริง.มิสแซฟไฟร์คลิกอ่านคอลัมน์ “คนดังอะราวนด์เดอะเวิลด์” เพิ่มเติม